เด็กปฐมวัยถือเป็นช่วงเวลาอันสำคัญสำหรับการวางรากฐานทางการศึกษาอันจะเป็นประโยชน์ในอนาคตเพราะเด็กในวัยนี้จะเริ่มมีพัฒนาการที่จะส่งผลต่อทั้งสติปัญญา อารมณ์ ตลอดจนพฤติกรรมที่ส่งผลต่อไปในอนาคต แต่ทว่าหลายครอบครัวกลับมองข้ามปล่อยปละละเลยการเอาใจใส่เด็กในวัยนี้ จนอาจลุกลามบานปลายเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต
อีกทั้งด้วยสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจของหลายครอบครัวทำให้เด็กในวัยนี้จำนวนไม่น้อยถูกปล่อยปละให้อยู่กับญาติผู้ใหญ่ขณะที่พ่อแม่ต้องออกไปทำงานรับจ้างตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษาต่อไปในอนาคต การติดตามเสาะหาเด็กปฐมวัยเพื่อพาเขาเข้าสู่กระบวนการเตรียมพร้อมผ่านโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่กำลังเร่งหาทางแก้ปัญหา
ครูบังอร ตงสาลี หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนบ้านคูคตพัฒนา เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ยืนยันว่า ช่วงเด็กปฐมวัยถือเป็นช่วงที่มีความสำคัญเป็นอับดับหนึ่งสำหรับการพัฒนาคน เพราะถ้าพื้นฐานไม่ดี โตขึ้นไปก็ไม่ดี ดังนั้นต้องปรับกันตั้งแต่พื้นฐาน เพราะเด็กวัยนี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหนก็จะจดจำไว้มีผลไปถึงตอนโต เด็กที่อยู่ในครอบครัวมีฐานะไม่ดีถูกปล่อยทิ้งไว้ในวัยนี้ก็อาจส่งผลเป็นปัญหาสังคมในอนาคต
ดังนั้น การติดตามเพื่อชักจูงให้เด็กเหล่านี้ได้เข้ามาสู่การศึกษาช่วงปฐมวัยจึงถือเป็นโอกาสที่ดีให้กับเด็กกลุ่มนี้สำหรับการพัฒนาสู่การศึกษาในอนาคต และยังช่วยตัดวงจรไม่ให้เป็นปัญหากับสังคมในอนาคต และที่สำคัญศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในปัจจุบันก็มีพัฒนาการอย่างดี มีหลักสูตรที่ได้มาตรฐานในการพัฒนาเด็ก ไม่ใช่อย่างที่เคยถูกมองว่าเป็นแค่ศูนย์ฝากเลี้ยงเช้ามาส่งเย็นรับกับเหมือนในอดีตต่อไป
เมื่อปีที่แล้วเราลงพื้นที่ติดตามค้นหาเด็กลุ่มนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือเราได้พบกับพ่อแม่น้องแพรว – ด.ญ.สิริรัตน์ ซูกองปาน ซึ่งเวลานั้นยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าศูนย์ สภาพบ้านเป็นบ้านที่ใช้ไม้ผุมาต่อ ๆ กันพอให้อาศัยอยู่ได้ โดยไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ด้านหลังบ้านเป็นป่า พ่อทำงานรับจ้างคนเดียวรายได้ไม่มากนัก แม่ไม่ได้ทำงาน เราก็ชวนให้เขาพาน้องมาที่ศูนย์เมื่ออายุครบ ปัจจุบันน้องแพรวอายุ 3 ปี 10 เดือน เมื่อเข้ามาที่ศูนย์และเริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นสดใสมากขึ้น จากเดิมที่ติดแม่ กลัวคนแปลกหน้า
ครูบังอร เล่าให้ฟังว่า ค่าใช้จ่ายทางศูนย์จะคิดประมาณเดือนละ 500 บาท เป็นค่าอาหาร ขนม นม อุปกรณ์ ซึ่งถือว่าศูนย์มีมาตรฐานหลักสูตรพัฒนาเด็กปฐมวัยผ่าน 6 กิจกรรมหลัก การฝึกสร้างวินัย การอยู่ร่วมกันในสังคม ครูที่ศูนย์แม้ตำแหน่งจะเป็นอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กเล็กแต่ก็จบปริญญาตรี ส่วนตัวเองปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าศูนย์นอกจากจบปริญญาตรีทางด้านครูแล้วยังอบรมเกี่ยวกับเด็กปฐมวัยต่อเนื่อง เราตั้งใจดูแลเด็กให้เต็มที่เพื่อพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เราเหนื่อยแต่ก็ภูมิใจ อยู่ที่นี่มา 20 ปี เริ่มเห็นคนที่จบไปเคยเป็นลูกศิษย์เราตอนนี้เขาพาลูกกลับมาที่ศูนย์นี้
ทั้งนี้ ทางศูนย์จะมีกิจกรรมที่เป็นมาตรฐานเริ่มตั้งแต่การคัดกรองเด็กทุกเช้า ตรวจโรคมือเท้าปากก่อนเข้าห้องโดยให้ผู้ปกครองยืนรอจนกว่าจะตรวจเสร็จถึงจะไปได้ เมื่อล้างมือเข้าห้องครูก็จะตรวจละเอียดอีกรอบ ให้เด็กรับนม ขนม จนเวลา 7.50 น. ก็พาไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่สนามร่วมกัน พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ฝึกการเข้าสังคม ต่อด้วยการเคารพธงชาติ อ่านดุอาอ์ สวดมนต์ขอพร ซึ่งที่นี่มีทั้งอิสลามและพุทธอยู่ด้วยกันในพื้นที่
จากนั้นจะสอนคุณธรรมจริยธรรม การอดออม ประหยัด อ่านนิทานให้เด็กฟัง ก่อนจะเริ่มกิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์ กิจกรรมสร้างสรรค์ ฝึกเคลื่อนไหว ศิลปะ ไปจนถึงการเล่นเสรี ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ในสายตา จากนั้นก็เตรียมปูที่นอนเอาเด็กแปรงฟัน นอน ตื่นนอน บ่ายสอง ไปล้างหน้า ทาแป้ง เกมสุดท้าย กิจกรรมเรื่องคำคล้องจองเตรียมเด็กกลับบ้าน
“เด็กจบออกไปจากที่นี่ไปเข้าอนุบาลทุกคนจะมีความพร้อม ได้รับผลตอบรับจากโรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียงและรับเด็กของเรารับไปเรียนต่อ เขาบอกว่าเด็กที่ผ่านจากที่ศูนย์มีพัฒนาการไว สามารถเรียนรู้ตอบสนองได้ดี พื้นฐานดี ซึ่งปีนี้มีมาลงชื่อเตรียมเข้าเรียนหลายคน แต่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีสุดท้ายหลายคนก็ไม่ได้มาลูกหลานมาเรียน จากความจุที่รับเด็กได้ 140 คน ก็ยังไม่เต็ม” ครูบังอรกล่าวทิ้งท้าย