สภากรุงเทพมหานคร ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) , ไทยพีบีเอส และ The Reporters เปิดวงเสวนาในหัวข้อ “ยุติปัญหา กทม. เมืองแห่งความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” โดยมีตัวแทนจากสภา กทม. ได้แก่ ส.ก. จากพรรคการเมืองต่าง ๆ ,สำนักงานเขตการศึกษา กทม. และตัวแทนจากสภาเด็กและเยาวชน กทม. เข้าร่วมการเสวนา ซึ่งได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการปรับงบประมาณและการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพื่ออุดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ในพื้นที่ กทม. ให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กยากจนและยากจนพิเศษได้อย่างทันท่วงที รวมถึงมุมมองต่อการหยุดภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ หรือ Learning Loss หลังโควิด- 19 ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างน่าสนใจ
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2022/09/2-2.jpeg)
“เด็กตกหล่นในกรุงเทพมหานครมีอยู่จริง เรื่องนี้พวกเราไม่มีพรรค เรื่องการศึกษาเราให้ความสำคัญและจะทำงานร่วมกันอุดช่องโหว่ ในพื้นที่บางกอกใหญ่ เราพยายามหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใส่ ซึ่งความจริงมี แต่เทคโนโลยีมันไปไว เราจึงต้องส่งเสริมให้เด็กของเราก้าวให้ทันโลก”
วิรัช คงคาเขตร ส.ก. บางกอกใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2022/09/3-2.jpeg)
“ความเหลื่อมล้ำเกิดมานานมากแล้ว ในพื้นที่ก็มีมาก แม้สำนักการศึกษา กทม. จะมีงบประมาณลงไปที่ศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน อนุบาล และประถมศึกษาเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่หายไปคือโรงเรียนในระดับมัธยม
เขตหนองจอกมีโรงเรียนในสังกัด กทม. 37 แห่ง แต่มีโรงเรียนในระดับมัธยมเพียง 6 – 7 แห่งเท่านั้น ปัญหาคือเด็กโรงเรียนในสังกัด กทม. ส่วนใหญ่ยากจนอยู่แล้ว พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ เขาจึงฝากลูกให้เรียนกับ กทม. เพราะใกล้บ้าน เดินไปเรียนได้ แต่พอเรียนจบโรงเรียน กทม. ในชั้นประถม จำนวนโรงเรียนไม่ได้ขยายโอกาสไปถึงภาคบังคับจนจบ ม. ต้น อย่างเพียงพอ แล้วถามว่าเขาจะไปเรียนต่อที่ไหน ก็ต้องออกไปเรียนนอกชุมชุน ซึ่งหมายถึงการเดินทางที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ดังนั้น หาก เด็ก ๆ สามารถเดินทางไปเรียนใกล้บ้านได้ ความเหลื่อมล้ำจะลดลง และยิ่งขยายการศึกษาภาคบังคับของโรงเรียน กทม. ไปจนถึง ม. 6 เขาจะมีวุฒิการศึกษาเพื่อทำงานได้เลย กทม.จึงควรสนับสนุนการศึกษาของเด็ก ๆ ให้ถึง 18 ปี ไม่ใช่ 15 ปี จะลดความเหลื่อมล้ำได้”
ณรงค์ รัสมี ส.ก. เขตหนองจอก พรรคพลังประชารัฐ
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2022/09/4-2.jpeg)
“เห็นด้วยกับการจัดให้ทุกเขตที่ขยายโอกาสทางการศึกษาโดยมีโรงเรียนมัธยมเพิ่มอย่างครอบคลุมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส่วนเรื่องงบประมาณ เราเพิ่งพ้นจากโควิดมาจึงต้องใช้จ่ายอย่างรัดกุมและเกิดประโยชน์สูงสุด
งบรายจ่ายบางส่วนที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนในเวลานี้ เช่น งบอบรมดูงาน หรืองบกิจกรรมอย่างลูกเสือ เครื่องแบบ การสวนสนามอะไรแบบนี้ควรปรับลดลง เพื่อไปส่งเสริมในส่วนการเรียนการสอนมากขึ้น เช่น ทุนการศึกษา กทม. อย่าง กทม. ยังมีทุนเอราวัณ ที่ส่งให้เรียนต่อไปได้จนจบมหาวิทยาลัย ทุนแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ควรสนับสนุนเพิ่ม”
ณภัค เพ็งสุข ส.ก.เขตลาดพร้าว พรรคก้าวไกล
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2022/09/5-1.jpeg)
“ด้วยความที่แม่และยายเป็นครูโรงเรียนวัดคู้บอน ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัด กทม. จึงเห็นถึงความเหลื่อมล้ำมาตั้งแต่เด็ก เอาแค่อายุตึกก็ 40 ปี เกือบทุกโรงเรียน ไม่เคยเปลี่ยน เหล็กมีสนิมโดนบาดไปบาดทะยักกินแน่ แม่เคยบอกว่า การศึกษาของ กทม. เราเลียนแบบอย่างมาจาก Home School ของต่างประเทศ แต่ทำไม่เหมือน ของเขาคือการเป็นโรงเรียนที่เด็กรอบ ๆ พื้นที่มาเรียน แต่ของเรามาอย่างหลากหลาย ส่วนหนึ่งเด็กลูกหลานแรงงานข้ามชาติ อีกส่วนคือลูกหลานแรงงานย้ายถิ่นฐานตามพ่อแม่ที่มารับจ้างทำงานในกรุงเทพ
นอกจากความแตกต่างที่ชัดเจนในกลุ่มเด็ก ๆ จำนวนเด็กต่อห้องก็มาก หนึ่งห้องมี 50 คนขึ้นไป กว่าครูจะรู้ว่ามีเด็กหายไปจากระบบก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน พอครูไปตามที่บ้านจะพบว่าส่วนใหญ่ที่หายไปคือลูกหลานแรงงานก่อสร้างย้ายไซต์ไปตามงาน อีกส่วนคือออกไปทำงานหาเงินช่วยครอบครัว หรือออกไปแต่งงานมีครอบครัวไปเลย เห็นมาหมด เพราะไปตามปัญหาเหล่านี้กับแม่ตั้งแต่เด็ก
ความเหลื่อมล้ำจึงไม่ใช่แค่ระบบ แต่หมายถึงสภาพสังคมและครอบครัวด้วย สิ่งที่เราเห็น การอุดหนุนเงินปีละ 1,000 – 3,000 บาท เพื่อเป็นเงินด้านการศึกษาของลูกก็จริง แต่ในความเป็นจริง เขาต้องเอาไปซื้อกับข้าวก่อน ในมุมของเขา เงินที่เข้ามาคือปากท้องทุกคนในครอบครัว ดังนั้น นอกจากการได้เรียนจึงคิดว่า เราควรมีเรื่องการเสริมอาชีพในวิชาเรียนหรือขยายโอกาสทางการศึกษาไปถึงสายอาชีพ อย่าง ปวช. และ ปวส. ด้วย
โรงเรียนสังกัด กทม. อาจต้องมีส่วนพัฒนาอาชีพและการทำงาน นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาจะต้องกำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้องให้น้อยลง และเพิ่มครูให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมา แม้ครูจะสอบได้โรงเรียนสังกัด กทม. แต่เมื่อ สพฐ. เปิดอัตราในบ้านเกิด ทุกคนกลับบ้านหมด ครู กทม.จึงไม่พอ กลายเป็นการอัดเด็กไปในหนึ่งห้อง ทำให้ครูไม่สามารถติดตามเด็กได้อย่างใกล้ชิด เหล่านี้คือโจทย์ที่ต้องแก้”
นฤนันมนต์ ห่วงทรัพย์ โฆษกสภากรุงเทพมหานคร
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2022/09/6-1.jpeg)
“จากการที่มีโอกาสเข้าไปร่วมประชุมใน อนุ กมธ. การศึกษาของ กทม. จึงได้ลงพื้นที่ไปเห็นสภาพจริงของแต่ละโรงเรียน เราพบว่าโรงเรียนในเขตเดียวกันห่างกันแค่คนละซอย แต่ความเป็นอยู่ของผู้ปกครองและนักเรียนก็ต่างสิ้นเชิงและไม่เอื้อต่อการเรียนรู้เลย
ในเรื่องงบประมาณจึงอยากเสนอให้เน้นเรื่องทุนเพื่อโอบรับนักเรียนเข้าระบบของ กทม. ให้ได้ต้องยอมรับว่าเมื่อในเวลานี้ กทม. ยังไม่สามารถสร้างโรงเรียนขยายโอกาสไปถึงมัธยมได้ ในทุกเขตก็ต้องมีทุนให้เด็ก ๆ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในการศึกษาขั้นพื้นฐานปกติที่ไม่ใช่ของ กทม.ให้ได้
อย่างไรก็ตาม ทุนการศึกษา อาจไม่ใช่ทางเดียวในการป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษา การปรับหลักคิดก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะระบบการศึกษาทุกวันนี้เหมือนต้องการผลักเด็กออกตลอดเวลา มีการคัดเลือก มีการสอบแข่งขันเยอะไปหมด คำถามคือระบบการศึกษาของเราเข้าใจนักเรียน เข้าใจผู้ปกครอง เข้าใจสภาพความเหลื่อมล้ำของประเทศหรือไม่ หรือความจริงเป็นเพียงระบบที่ต้องการผลักเด็กออกจากระบบการศึกษาเรื่อย ๆ ให้เหลือเฉพาะที่พร้อมด้วยตัวเองเท่านั้น
สัดส่วนงบประมาณของ กทม. จะมีงบส่วนหนึ่งที่เน้นพิธีการ งานอบรม หรือเอาไปพัฒนาโครงการที่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้หรือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จึงคิดว่ายังสามารถตัดตรงนี้เพื่อไปเพิ่มในส่วนอื่นได้ เช่น ทุน หรือการเดินทางไปโรงเรียนของเด็ก ๆ เป็นต้น”
ชวัลวิทย์ บุญช่วย คณะทำงานนโยบายพรรคก้าวไกล