‘ซาเก๊ะ’ หรือ มะสากิ มีมะ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) และภาคีอีกกว่า 20 จังหวัด ยังเดินหน้า ค้นหา-ช่วยเหลือ-ฟื้นฟู เด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาต่อเนื่อง ล่าสุดจังหวัดยะลา ซึ่งเป็น 1 ใน 20 จังหวัด ได้ส่งเด็กนอกระบบวัย 16 ปี จากอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ที่ประสบปัญหาบกพร่องทางร่างกายทำให้ไม่เคยผ่านระบบการศึกษา ได้เข้าสู่โรงเรียนได้อีก 1 คน อย่างน้อง ‘ซาเก๊ะ’ หรือ มะสากิ มีมะ เป็นน้องคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 5 คน ด้วยร่างกายที่ผิดปกติแต่กำเนิด มีภาวะแขนขาอ่อนแรง กระดูกขาที่พับผิดรูป
ทำให้ซาเก๊ะเดินไม่ได้เหมือนเด็กคนอื่นๆ จึงไม่เคยได้ไปโรงเรียนมาตลอดชีวิตที่ผ่านมา
สุไวบ๊ะ มีมะ พี่สาวของซาเก๊ะ เล่าว่า ครอบครัวของเธอมีรายได้จากการที่พ่อและพี่ชายของซาเก๊ะมีอาชีพรับจ้าง กรีดยางในชุมชน ได้รับค่าแรงรายวันเป็นค่าจ้างขั้นต่ำ ส่วนแม่และตนช่วยกันทำเพิงขายอาหารเล็กๆ หน้าบ้าน พอมีรายได้เพิ่มอีกเล็กน้อย นอกจากครอบครัวของเธอที่มีจำนวน 5 คนแล้ว ยังมีลูกพี่ลูกน้องและหลานอีก 2 คน รวมแล้วจึงมีสมาชิกในบ้าน ถึง 7 คน ซึ่งต้องใช้ชีวิตร่วมกันด้วยรายได้อันน้อยนิด พี่ๆ ของซาเก๊ะทุกคนจึงจบการศึกษาชั้นสูงสุดที่ระดับชั้น ป.6 และไม่มีใครได้เรียนต่อเลย
สุไวบ๊ะ มีมะ พี่สาวของซาเก๊ะ
“ซาเก๊ะเขาไม่เคยไปโรงเรียนเลยเพราะเดินไม่ได้ ถ้าจะให้เขาได้เรียนก็ต้องรักษาให้เขาเดินได้ก่อน แต่ครอบครัวก็ไม่มีรายได้มากพอจะดูแลเขาได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งที่ตัวของซาเก๊ะเองอยากไปโรงเรียน เขาจะพยายามหัดเรียนด้วยตนเอง ฝึกเขียนตัวหนังสือโดยเลียนแบบจากสมุดหนังสือที่มีอยู่ในบ้าน ทั้งที่ไม่มีใครสอนเขามาก่อน” พี่สาวของซาเก๊ะ กล่าว
จากวัยเด็ก ซาเก๊ะต้องอาศัยฐานตั้งถังแก๊สติดล้อเป็นพาหนะช่วยสำหรับการเคลื่อนย้าย ร่างกาย จนวันหนึ่ง เขาได้รับมอบวิลแชร์จากทหารที่เข้ามาในหมู่บ้าน นั่นทำให้เขาสามารถพาตัวเองไปในที่ต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น แต่ซาเก๊ะไม่หยุดความหวังของเขาไว้แค่นั้น เขาบอกกับคนในครอบครัวเสมอว่าอยากลุกขึ้นเดินด้วยขาของตัวเอง ไม่ต้องการเป็นภาระของใคร จากนั้นพ่อของเขาจึงหาไม้ค้ำมาให้ใช้ช่วยฝึกเดิน ซาเก๊ะใช้เวลาทุกวันทำกายภาพด้วยวิธีเหยียดขาตัวเองบนวิลแชร์ ทำซ้ำๆ ขยับบิดจนขายืดตรงได้ แล้วหัดยืนโดยใช้ไม้ค้ำช่วย จากนั้นลองเริ่มหัดเดิน จนวันหนึ่งในปี 2561 เขาก็สามารถออกเดินได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำ
“ตอนที่รู้ว่าเขาเดินได้แล้ว ผมรู้สึกอะเมซิ่งมาก ไม่รู้เขาทำได้ยังไง จากขาที่พับลีบ ไม่เคยเดินมาก่อนเลยจนอายุ 15 ต้องนั่งบนแผ่นกระดานติดล้อ จนมีวิลแชร์ ซึ่งแค่นั้นก็สะดวกแล้ว แต่สำหรับเขามันไม่พอ เขาเชื่อมั่นเสมอว่าตัวเองจะเดินได้ ทั้งที่หน่วยงานสาธารณสุขที่ช่วยสอนเขาทำกายภาพเคยประเมินไว้ว่า โอกาสเดินได้ของเขาแทบเป็นศูนย์ แต่เขาทำกายภาพอย่างหนัก ทำทุกวัน วันหนึ่งก็เกิดปาฏิหาริย์จริงๆ” ลุกมาน ซูมามะ ครูอาสาในพื้นที่ อ.บันนังสตา เล่าถึงพลังใจอันยิ่งใหญ่ของมะสากิ มีมะ
ครูอาสาจาก อ. บันนังสตา กล่าวต่อไปว่า หลังได้รับเรื่องการสำรวจเด็กนอกระบบจาก กสศ. ผ่านทาง อบจ. ยะลา จึงได้ส่งชื่อของซาเก๊ะเข้าสู่กระบวนการสำรวจ เนื่องจากเป็นกรณีที่พิเศษ เขาไม่เคยเรียนหนังสือ เป็นผู้พิการเดินไม่ได้ ทางบ้านก็มีรายได้ไม่มาก จนในที่สุด เมื่อการสำรวจเด็กนอกระบบในพื้นที่ 3 อำเภอนำร่องของจังหวัดยะลา (ยะหา, รามัน และบันนังสตา) ได้พบ มะสากิ มีมะ จากนั้นจึงดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แล้วเมื่อผ่านขั้นตอนประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ซาเก๊ะ ก็ได้รับโอกาสให้ไปโรงเรียนเป็นครั้งแรก ในปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่โรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตรมิตรภาพที่ 200 ที่ระลึก ส.ร.อ. อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยเป็นการจัดการศึกษาในรูปแบบพิเศษ เพื่อปูพื้นฐานการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับซาเก๊ะโดยเฉพาะ
มุขตาร์ มะทา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา เผยว่า จากโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ที่ อบจ. ยะลา ได้ร่วมมือกับ กสศ. เพื่อค้นหาเด็กนอกระบบและนำเข้าสู่ระบบการศึกษาเป็นรายกรณี ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งกศน. เขตพื้นที่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะทำงานของภาคีเครือข่ายทุกระดับ จนได้พบกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวน 9, 669 คน โดยสำรวจพบและบันทึกข้อมูลไว้แล้วจำนวน 6, 874 คน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายที่เข้าเกณฑ์ 3, 184 คน และมีจำนวนของเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนทั้งหมด 2,405 คน
มุขตาร์ มะทา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา
ขณะที่งบประมาณเบื้องต้นที่มีอยู่สามารถช่วยเหลือเด็กได้เพียง 451 คน ในอัตราเงินช่วยเหลือที่รายละ 4,000 บาท สำหรับปัญหานี้ ตนมองว่าเป็นเรื่องที่สังคมส่วนรวมจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยกัน เพื่อช่วยให้เด็กและเยาวชนทุกคนมีโอกาสได้เข้าถึงการศึกษา
เด็กที่เราเรียกว่าเป็น ‘เด็กนอกระบบการศึกษา’ ในพื้นที่ จ.ยะลา ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ขาดแคลนทุนทรัพย์ เขาจึงไม่สามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้นาน หลายคนต้องออกมาทำงานกรีดยาง ขายของ หรือใช้แรงงาน เมื่อเราสำรวจพบเขาแล้ว ก็จะใช้กระบวนการดูแลเป็นรายคน โดยคณะทำงานทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับพื้นที่ และด้วยพื้นฐานของปัญหาที่มาจากครอบครัว บางรายเราจึงต้องวางแผนช่วยเหลือที่ครอบครัวร่วมด้วย เบื้องต้นเราเน้นที่การเก็บข้อมูลและสอบถามความต้องการในด้านต่างๆ ของเด็กและครอบครัว
“เช่นกรณีของ มะสากิ มีมะ ซึ่งเป็นเคสพิเศษ เพราะเขามีร่างกายไม่ปกติแต่กำเนิด เดินไม่ได้จนถึงอายุ 15 ทำให้เด็กไม่เคยไปโรงเรียนเลย แต่หลังจากที่เราพบเขา ได้สอบถามกับครอบครัว แล้วทราบว่าเขามีความต้องการจะเรียนหนังสือ อยากมีอาชีพดูแลตนเองได้ ส่วนตัวมะสากิเขามีความสนใจและใฝ่ฝันอยากเรียนด้านถ่ายภาพและคอมพิวเตอร์ กราฟิก เราก็จะจัดการศึกษาให้เขาได้มุ่งไปทางอาชีพเกี่ยวกับงานที่เขาอยากทำ แต่เนื่องจากเขาไม่เคยเรียนมาก่อน ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ก็จำเป็นจะต้องปรับพื้นฐานก่อน” มุขตาร์ กล่าว
โรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตรมิตรภาพ ฯ
มุขตาร์ บอกอีกว่า เบื้องต้นเราได้ส่งมะสากิ เข้าสู่โรงเรียนให้เรียนร่วมในชั้นอนุบาล 3 เพื่อให้เขาฟังพูดอ่านเขียนภาษาไทยให้คล่อง ต่อไปก็ดูว่าเขามีการปรับตัวหรือพัฒนาการดีขึ้นแค่ไหน แล้วจึงค่อยปรับระดับชั้นให้สูงขึ้น นี่คือสิ่งที่เราเตรียมความพร้อมเพื่อให้เขาเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เหมาะสม ก่อนจะสนับสนุนให้เขาเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจเป็นลำดับต่อไป
ไม่ต่างจาก นางประไพ ปุยุ ผู้อำนวยการโรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตรมิตรภาพที่ 200 ที่ระลึก ส.ร.อ. ระบุว่า ทางโรงเรียนได้รับการติดต่อจาก อบจ. ยะลา ว่ามีเด็กนักเรียนที่ขาดโอกาสทางการศึกษาเนื่องจากมีปัญหาด้านร่างกาย จึงได้รับเด็กเข้ามาเพื่อช่วยดูแลปรับพื้นฐานการเรียนเบื้องต้น ฝึกการใช้ภาษา และได้จัดให้เข้าเรียนร่วมกับระดับชั้นอนุบาล 3 ก่อน เนื่องจากเด็กไม่เคยผ่านการศึกษามาก่อนเลย จึงอยากให้เขาได้ปรับตัวทั้งด้านการเรียนและด้านสังคม ก่อนจะประเมินผลการเรียนรู้ตามลำดับเพื่อเลื่อนชั้นเรียนต่อไป
นางประไพ ปุยุ ผู้อำนวยการโรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตรมิตรภาพที่ 200 ที่ระลึก ส.ร.อ.
ในเบื้องต้น มะสากิ สามารถปรับตัวกับโรงเรียนได้ดี เข้ากับน้องๆ ในชั้นเรียนได้ และได้รับคำชมจากครูว่าเรียนรู้ไวและมีความตั้งใจสูง ขณะที่เราจัดให้เขาได้เรียนในชั้น อ.3 เนื่องจากต้องการให้ได้เรียนกับครูที่เขาใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่ 1 เด็กจะได้คุ้นเคย ได้ฝึกใช้บ่อยๆ เพื่อที่จะสื่อสารภาษาไทยได้คล่องขึ้น และมีพื้นฐานการอ่านเขียนซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเขาต่อไป
ครูเอ๋ มณีรัตน์ ขาวทอง ครูประจำชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตรมิตรภาพฯ ผู้รับหน้าที่สอนพื้นฐานการอ่านเขียนของซาเก๊ะ เล่าถึงช่วงเวลาสัปดาห์แรกในโรงเรียนของเขาว่า การสอนอ่านเขียนให้มะสากิ จะต้องเริ่มจากพื้นฐานการรู้จักพยัญชนะ สระ และ วรรณยุกต์ คือเริ่มตั้งแต่แรก จากนั้นเมื่อชำนาญจึงค่อยเรียนการประสมคำ ไล่จากง่ายไปหายาก เน้นให้เขาได้ทำซ้ำๆ และใช้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน
“ในวันแรกของการเรียน ครูได้ลองให้ซาเก๊ะอ่านบัตรคำที่มีพยัญชนะไทย 44 ตัว โดยสุ่มหยิบไม่เรียงลำดับ ซึ่งเขาก็สามารถอ่านออกเสียงตามได้ และรู้จักพยัญชนะบางตัว สิ่งหนึ่งที่มองเห็นคือเขาตั้งใจเรียนมาก มีสมาธิ สอนครั้งเดียวเขาสามารถจำได้ทันที แต่ปัญหาหลักคือเขายังออกเสียงได้ไม่ชัด เราก็จะค่อยๆ แก้และสอนเพิ่มที่ตรงนั้น ความพิเศษของมะสากิคือเขาเป็นเด็กที่มีน้ำใจ จะช่วยเหลือครูในการดูแลน้องๆ ในชั้นเรียน ปรับตัวกับโรงเรียนได้เร็ว” ครูมณีรัตน์ ย้อนเล่าการเรียนวันแรก
ครูเอ๋ มณีรัตน์ ขาวทอง ครูประจำชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตรมิตรภาพฯ
สำหรับช่วงแรกของการเรียนนี้ ซาเก๊ะ จะรับหน้าที่เป็นผู้นำน้องชั้น อ.3 ในชั้นเรียน ช่วยครูประจำชั้นดูแลและเรียนร่วมไปกับน้องๆ ในช่วงเช้า และในช่วงบ่ายหลังอาหารกลางวันที่นักเรียนชั้น อ.3 เข้านอน จึงเป็นเวลาของการสอนเสริมพิเศษจากครูประจำชั้น ในวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตร์พื้นฐาน จนถึงเวลาเลิกเรียน
ขณะที่ ซาเก๊ะ เล่าความรู้สึกการเป็นนักเรียนครั้งแรกในวัย 16 ปี ว่า ได้ไปโรงเรียนมาแล้ว 4 วัน กำลังเรียนการอ่านการเขียน การสะกดภาษาไทย ได้อ่าน ก.ไก่ ข.ไข่ คิดว่ากว่าจะท่องได้คงต้องใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากเป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคย แต่ที่ผ่านมาตอนอยู่บ้าน เขาเคยดูเคยหัดเขียนมาแล้ว จึงทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น
“การได้มาโรงเรียนให้ความรู้สึกเหมือนกับที่ผมคิดเอาไว้ บรรยากาศในห้องเรียนไม่มีความเครียด สนุก ผมมีเพื่อนแล้วหลายคน หลายระดับชั้น ทั้งอนุบาล 3 ป.1 หรือที่เรียนอยู่ ป.3 ก็มี หลังจากเริ่มไปโรงเรียน เดี๋ยวนี้ทุกวันผมจะรีบกลับไปทำการบ้าน ไม่ไปเที่ยวไหน ผมชอบดูหนังสือเรียน อยากเรียนอ่านเขียนให้ได้เร็วๆ” มะสากิ มีมะ เล่าถึงช่วงเวลาแรกในการเป็นนักเรียนของเขา