กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชวนมาศึกษาบทเรียนจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก ที่เริ่มทยอยเปิดประตูรั้วโรงเรียน หลังมีเหตุให้ต้องปิดไปหลายเดือนเพื่อสกัดกั้นวิกฤตการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19
อย่างไรก็ตาม การที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายจนทำให้รัฐบาลหลายประเทศตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ แต่เพราะไวรัสยังคงอยู่ ทำให้การเปิดโรงเรียนต้อนรับเด็กนักเรียนในคราวนี้ ไม่ใช่การมาเรียนเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาอีกต่อไป
งานนี้ กสศ. จึงได้รวบรวมสารพัดมาตรการป้องกันที่บรรดาโรงเรียนในต่างประเทศ งัดขึ้นมาใช้เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เหล่าผู้ปกครอง นักเรียน และครูอาจารย์ ที่จะต้องเดินทางมาเรียน มาสอน ที่โรงเรียนกันอีกครั้ง และในหลายๆ โรงเรียนทั่วโลกมีมาตรการความปลอดภัยออกมาบังคับใช้ภายในโรงเรียน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อจนสถานการณ์เลวร้ายรุนแรงขึ้น อาจเรียกได้ว่า เป็น New Normal ของโรงเรียนทั่วโลก ที่บรรดานักเรียน ครู และพ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องเผชิญ และลืมภาพห้องเรียนแบบเดิมๆ ที่เคยเป็นมา โดยทั้งหมด ถือเป็นมาตรการสากลที่โรงเรียนทั่วโลกนำมาใช้เหมือนๆ กัน
มาตรการข้อแรกก็คือ มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
สำหรับมาตรการนี้ถือเป็นมาตรการหลักที่โรงเรียนในต่างประเทศให้ความสำคัญลำดับแรก โดยระยะห่างระหว่างเด็กนักเรียนจะอยู่ที่ 1-2 เมตร จัดโต๊ะที่นั่งภายในห้องเรียนให้ห่างกันในระยะปลอดภัยดังกล่าว ติดเทปกาวบนพื้นทางเดินภายในอาคารระหว่างห้องเรียน แบ่งแยกชัดเจน หากเป็นอาคารขนาดเล็กก็จัดระบบทางเดินที่ห้ามเดินสวนกันอย่างเด็ดขาด
ในส่วนของครูอาจารย์ ต้องเอาใจใส่และกวดขันให้เด็กๆ อยู่ในพื้นที่ที่กำหนดของตนเอง ห้ามมีการเล่นที่สัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกัน และต้องเล่นภายในพื้นที่และสนามเด็กเล่นที่กำหนด เน้นการเรียนการสอนในพื้นที่โล่งกว้างหรือกลางแจ้งให้มากขึ้น
นอกจากนี้ โรงเรียนหลายแห่งในยุโรป ที่ทยอยเปิดเทอมไปแล้วก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา เช่น เดนมาร์ก และสวิตเซอร์แลนด์ ต่างกำหนดจุดรับส่งอย่างชัดเจน ไม่อนุญาตให้พ่อแม่ผู้ปกครองก้าวเข้ามาภายในรั้วโรงเรียน และลดจำนวนนักเรียนภายในห้องเรียนให้เหลือครึ่งหนึ่งของจำนวนเดิม
มาตรการที่สองก็คือจัดหาติดตั้งแผ่นกำบังพลาสติก และเจลหรือสิ่งของทำความสะอาดมือ
นอกเหนือไปจากการกำหนดให้นักเรียนและคุณครู รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องภายในโรงเรียนต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอด ทางโรงเรียนยังได้ติดตั้งแผ่นกำบังพลาสติกบนโต๊ะเรียน และติดตั้งเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค บริเวณประตูทางเข้าห้องเรียน หรือติดตั้งอ่างล้างมือพร้อมสบู่ ไว้ในบริเวณสนามเด็กเล่น
โดยมาตรการดังกล่าว พบเห็นในโรงเรียนหลายแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในจีน เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ แคว้นควิเบกของแคนาดา เยอรมนี และอิสราเอล กระนั้น ก็มีบางประเทศ ส่วนใหญ่ในยุโรป เปิดให้เด็กนักเรียนสามารถเลือกที่จะสวมหรือไม่สวมหน้ากากผ้าได้ในระหว่างอยู่ภายในห้องเรียน ขณะที่คุณครูจะต้องสวมหน้ากากป้องกันอยู่ตลอด
มาตรการที่ 3 คือ มาตรการจำกัดระยะเวลาและสลับสับเปลี่ยนคาบเรียน
เพื่อลดความเสี่ยงของการระบาดของ COVID-19 ขนาดและจำนวนของนักเรียนภายในแต่ละห้องแต่ละชั้นเรียนจำเป็นต้องลดให้มีนักเรียนเหลือจำนวนน้อยลง เพื่อให้มีขนาดพื้นที่ระยะห่างระหว่างกันมากขึ้นภายในห้องเรียนขึ้นมาแทน
สำหรับโรงเรียนที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ อาจเลือกใช้หอประชุม สนามกีฬา หรือโถงกิจกรรม และลานกลางแจ้งมาเป็นทางเลือก ขณะที่ โรงเรียนที่มีขนาดเล็กอาจขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อใช้ลานกิจกรรมสาธารณะของชุมชน
ขณะเดียวกัน เพื่อให้การเรียนของนักเรียนทุกระดับชั้นเป็นไปอย่างราบรื่น โรงเรียนหลายแห่งทั่วโลก ก็จัดตารางเรียนของนักเรียนแต่ละชั้น ให้สลับสับเปลี่ยนกันไป ทำให้นักเรียนทุกระดับชั้นไม่ต้องมาโรงเรียนพร้อมกันในวันเดียวกัน เช่น วันจันทร์-พุธ-ศุกร์ ให้นักเรียนชั้นประถม กับอนุบาล ส่วนพฤหัสบดีกับศุกร์ เป็นของนักเรียนในระดับชั้นมัธยม โดยนักเรียนระดับชั้นมัธยม ให้เพิ่มหลักสูตรการเรียนออนไลน์ให้มากขึ้นเนื่องจากมีความรู้ความเข้าในที่ดีพอในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
นอกจากนี้ โรงเรียนยังออกจัดตารางพักเบรกระหว่างคาบเรียน และพักเบรกมื้อกลางวัน ให้เหลื่อมกัน เพื่อที่เด็กนักเรียนจะได้ไม่ต้องออกจากห้องเรียนมาใช้โรงอาหารหรือสนามกีฬาอย่างแออัด รวมถึง เลื่อนเวลาการเดินทางมาและกลับโรงเรียนของนักเรียนแต่ละชั้นให้ไม่ตรงกันด้วย
และมาตรการสุดท้ายคือ มาตรการตรวจวัดอุณหภูมิและทดสอบการติดเชื้อ
โรงเรียนหลายแห่งทั่วโลกได้ติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิไว้ที่บริเวณทางเข้าของโรงเรียน เช่น นักเรียนในนครเซี่ยงไฮ้ของจีน ที่ต้องเดินผ่านเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ ก่อนเดินเข้ามารั้วโรงเรียน นับเป็นขั้นแรกของการคัดกรอง ขณะที่โรงเรียนอีกหลายแห่ง จัดหาเจ้าหน้าที่มาถือเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลในบางประเทศ ยังเดินหน้าจัดส่งเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ทดสอบไปตามโรงเรียน เพื่อให้โรงเรียนช่วยทดสอบการติดเชื้อ COVID-19 ของนักเรียนทุกคนเพื่อความปลอดภัย โดยในไซปรัสเจ้าหน้าที่ได้ทำการทดสอบการติดเชื้อของนักเรียนระดับมัธยม ในเมือง Nicosia ไม่นานก่อนเปิดให้กลับมาเรียนที่โรงเรียนได้อีกครั้งในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ไม่ว่าการไปโรงเรียนในช่วง COVID-19 จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยกฎระเบียบด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดมากขึ้นจนไม่ต่างอะไรกับการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่เด็กนักเรียนหลายคนในหลายประเทศทั่วโลกต่างยิ้มแย้มเบิกบานและเต็มใจที่จะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอย่างยินดี ซึ่งเหตุผลที่ว่านี้ ก็น่าจะตรงใจกับเด็กนักเรียนในไทยเช่นกัน
เพราะการไปโรงเรียน ได้อะไรที่มากกว่า ความรู้ ตามตำรา
ที่มา :