เมื่อวันที่ 10-11 ก.ค. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย องค์การการศึกษา ยูเนสโก, องค์การยูนิเซฟ และธนาคารโลก ได้จัดเวทีประชุมวิชาการนานาชาติ “เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ปวงชนเพื่อการศึกษา” โดยมีการนำเสนอประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพทรัพยากรมนุษย์กับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยใช้ข้อมูลจากการประเมินผลคุณภาพการศึกษาในระดับนานาชาติ รวมเป็นถึงบทเรียนและ
ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาการศึกษาในยุคหลังวิกฤต COVID-19
โดยมีนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำระดับโลกมาเป็นวิทยากรร่วมพูดคุย นำโดย Harry Patrinos หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ผู้ดูแลนโยบายการศึกษาของธนาคารโลก ศาสตราจารย์ Eric Hanushek นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด และ Andreas Schleicher ผู้อำนวยสำนักการศึกษาและทักษะแห่งองค์การ OECD ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดทดสอบ PISA นับ
ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ซึ่งทั้งสามท่านนี้มีการนำเสนอในประเด็นที่คล้ายคลึงกัน คือ การนำเอาข้อมูลทางการศึกษาขนาดใหญ่ที่ได้จากการเก็บจากทั่วโลกมาใช้ทำการวิเคราะห์และให้ข้อเสนอเชิงนโยบายในแง่มุมต่างๆ
โดย ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษาสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. ได้สรุปและเรียบเรียงบทวิเคราะห์ ผ่านแนวคิดของวิทยากรทั้งสามท่านในแง่มุมที่ว่า “เราจะพลิกปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้เสมอภาคได้อย่างไร?”
โดยคุณ Harry Patrinos จากธนาคารโลก ได้นำเสนองานวิจัยของธนาคารโลกเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคระบาดที่ทำให้มีการปิดโรงเรียนว่า จะส่งผลต่อการเรียนรู้ที่หายไป (Learning Loss) ในระยะยาว โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เคยเกิดในประวัติศาสตร์ เช่น การปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนในช่วงทศวรรษ 1970 ที่ทำให้อัตราการจบมัธยมศึกษาในช่วงนั้นลดลงถึง 35% รวมไปถึงผลกระทบที่เกิดกับวิกฤตทางเศรษฐกิจในอดีต เช่น วิกฤตเศรษฐกิจของเอเชีย วิกฤตเศรษฐกิจในลาตินอเมริกา ในช่วงปลายทศวรรษ 2000 รวมถึงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐอเมริกาในปี 2008
ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง พบว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบการศึกษาด้วย เช่น ทำให้คนออกนอกโรงเรียนมากขึ้น อัตราการจบการศึกษาลดลง
โดยผลจากวิกฤต COVID-19 ในครั้งนี้ ธนาคารโลกคาดว่า การปิดโรงเรียนจะส่งผลทำให้ GDP ของประเทศต่างๆ ลดลงอย่างอังกฤษ ลดไป 0.1-0.4% GDP สหรัฐอเมริกาลดลง 0.3% หรือจากงานวิจัยของประเทศนอร์เวย์ การปิดโรงเรียนแต่ละวันจะทำให้เกิดความสูญเสียถึงวันละ 165 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น การที่โรงเรียนต้องปิด 4 เดือน ทำให้รายได้ในอนาคตของนักเรียนลดลง 1,337 เหรียญต่อปีต่อคน ซึ่งคิดเป็นรายได้ประมาณ 33,464 เหรียญตลอดช่วงชีวิต ซึ่งหากพิจารณาจำนวนของนักเรียนทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาที่มีทั้งหมด 76 ล้านคนแล้ว พบว่ารายได้ตลอดช่วงชีวิตของเด็กและเยาวชนอเมริกันในรุ่นอายุนี้จะหายไปถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงมาก
นอกจากนี้ ธนาคารโลกได้มีการประเมินว่าหากนักเรียนต้องหยุดเรียนในช่วงวิกฤตนี้ จะส่งผลกระทบต่อทักษะความสามารถทางการเรียนที่ลดลง จากแบบจำลองคะแนน PISA ในด้านการอ่าน ในกรณีที่เลวร้ายสุดจะทำให้คะแนนเฉลี่ยลดลงจากค่าเฉลี่ยของโลกที่ 440 เหลือเพียง 413 คะแนน หรือคิดเป็นช่องว่าง 1 ปีการศึกษา และทั่วโลกจะมีเด็กนักเรียนที่ขาดทักษะความรู้ในระดับที่สามารถเอาไปใช้งานได้ (Functionally Illiterate) เพิ่มจาก 40% เป็น 53%
แผนภาพที่ 1 : ผลกระทบของ COVID-19 ต่อระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน และต่อจำนวนนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานในด้านการอ่าน
อย่างไรก็ตาม ประชากรจะได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ที่ต่างออกกันตามระดับการศึกษา โดยแรงงานที่มีการศึกษาต่ำ (มัธยมศึกษา) จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าแรงงานที่มีการศึกษาสูง (ตั้งแต่ระดับปริญญาขึ้นไป) วิกฤตนี้ จะทำให้แรงงานระดับล่างตกงานกันอีกมาก ส่งผลต่อค่าแรงที่ถูกกดให้ต่ำลง ขณะที่ผลตอบแทนจากการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมีอัตราที่สูงขึ้น ทำให้คนมีแนวโน้มที่จะหันกลับไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้น
ซึ่งเราได้เคยเห็นรูปแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในประเทศเวเนซุเอลา อาร์เจนตินา และไทยในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 โดยคุณ Harry เชื่อว่ารูปแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกในช่วงวิกฤต COVID-19 รัฐบาลจึงควรมีนโยบายช่วยเหลือสนับสนุน การรักษางบประมาณทางการศึกษาเอาไว้ โดยเฉพาะในการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย รวมไปถึงการศึกษาตลอดชีวิตที่จะได้รับความต้องการมากขึ้น นอกจากนี้การลงทุนพัฒนาแนวทางการประเมินผลนักเรียนและเร่งสอนเสริมเพื่อให้ตามเพื่อนได้ทัน รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับผู้เรียนก็เป็นสิ่งที่ควรพัฒนา
แผนภาพที่ 2 : ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลตอบแทนจากการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาของประเทศไทย (1985-2015)
ด้านศาสตราจารย์ Eric Hanushek จากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกงานวิจัยในด้านการนำเอาคะแนนสอบมาตรฐานระดับชาติไปใช้วิเคราะห์ผลทางเศรษฐกิจ กล่าวว่า จากสถิติข้อมูลในปี 1960-2000 เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบคะแนนมาตรฐานนานาชาติของนักเรียนและค่า GDP ของประเทศ พบว่า คะแนนมาตรฐานซึ่งเป็นตัวแทนของคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
โดยในอดีตนักเศรษฐศาสตร์มักจะใช้จำนวนปีการศึกษาในการบ่งบอกระดับการศึกษาของชาติ เพราะเป็นสิ่งที่วัดได้ง่าย แต่ความจริงคือคุณภาพการศึกษาของแต่ละประเทศมีไม่เท่ากันแม้จะมีจำนวนปีการศึกษาที่ใกล้เคียงกัน แต่การมีคะแนนสอบมาตรฐานอย่าง PISA ทำให้สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพการศึกษาของแต่ละชาติได้ดีกว่าจำนวนปีการศึกษา
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะยาว
จากข้อมูล PISA พบว่า มีเด็กประมาณ 20% ในประเทศไทยที่เรียนไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกว่า 43% ไม่ได้รับการพัฒนาทักษะขั้นพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้งานในโลกปัจจุบันได้ โดยงานวิจัยของศาสตราจารย์ Hanushek พบว่าในกรณีของประเทศไทย หากนักเรียนทุกคนสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ จะทำให้ GDP ขยายตัวไปจนตลอดทศวรรษนี้ 3% ต่อปีและถ้านักเรียนไทยที่อยู่ในระบบปัจจุบันมีทักษะพื้นฐานอยู่ในระดับเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ จะทำให้ไทยมี GDP ที่ขยายตัวโดยเฉลี่ยปีละ 5.5% หรือถ้าสามารถทำให้เด็กไทยสามารถเข้าถึงการศึกษาในมาตรฐานขั้นต่ำได้ทุกคน จะทำให้ GDP ขยายตัวได้ถึง 8.9% ไปจนตลอดศตวรรษนี้เลยทีเดียว
ค่า GDP จะเพิ่มสูงขึ้น หากเด็กไทยได้รับการศึกษาที่ทั่วถึงหรือมีคุณภาพในระดับพื้นฐานอย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการประมาณตัวเลขในช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการศึกษาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มด้อยโอกาสและขาดแคลนการเข้าถึงเทคโนโลยีและครูที่ดีมีคุณภาพด้วย
โดยศาสตราจารย์ Eric Hanushek คาดการณ์ว่าความรู้ที่หายไปจะทำให้รายได้ตลอดชีวิตของเด็กในรุ่นนี้ลดลง 3-6% พร้อมแนะให้พัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่านี้ ซึ่งภาคนโยบายต้องมีกระบวนการจัดสรรครูอย่างมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้เด็กด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงครูที่เก่ง เพราะถ้าทำไม่ได้ นอกจากเราจะไม่สามารถกลับไปสู่ระดับของการเรียนรู้ก่อนหน้าวิกฤตได้แล้ว ยังจะไม่สามารถลดช่องว่างที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 ได้ด้วย
เช่นเดียวกับ Andreas Schleicher แห่ง OECD ผู้ริเริ่มเเละอยู่เบื้องหลังการประเมินทักษะนักเรียนนานาชาติหรือ PISA ได้ประมาณการว่า หากเด็กไทยทุกคนสามารถพัฒนาทักษะความรู้ให้อยู่ในระดับมาตรฐานของ PISA ใน Level 2 ได้ จะทำให้เศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศขยายตัวอย่างมหาศาล คิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 4 เท่าของขนาดเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเลยทีเดียว
เศรษฐกิจไทยจะโตขึ้นอย่างไร หากเด็กทุกคนสามารถบรรลุทักษะความรู้ใน PISA Level 2 ได้
โดยคุณ Andreas Schleicher ยังแสดงให้เห็นว่าความยากจนหรือความด้อยโอกาสของเด็ก ไม่ใช่ตัวกำหนดความสำเร็จในการศึกษาหากประเทศมีการจัดระบบการกระจายตัวของทรัพยากรทางการศึกษาที่ดีพอ
โดยยกตัวอย่างบางประเทศที่มีความพยายามในการจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษาให้อยู่ใกล้บ้านนักเรียนอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และการจัดสรรครูที่เก่งที่สุดไปช่วยเหลือในโรงเรียนที่เด็กมีความต้องการมากที่สุด เช่น ใน 4 จังหวัดของประเทศจีน ฟินแลนด์ และเอสโตเนีย ที่ร่วมสอบ PISA ซึ่งได้มีการพัฒนาทักษะความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ของนักเรียน แม้จะเป็นประเทศส่วนน้อยที่สามารถทำได้ แต่ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเป็นไปได้ ถ้าภาคนโยบายมีการนำไปทำอย่างจริงจัง
โดยสรุปแล้ว ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค มองว่า การได้ฟังมุมมองของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ระดับชั้นนำของโลกจากงานระดับนานาชาติในครั้งนี้ ทำให้ทาง กสศ. ตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญของการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีมาตรฐานในระดับนานาชาติเพื่อนำมาใช้วิเคราะห์แแก้ปัญหาการศึกษาของประเทศไทย
โดยปัจจุบัน กสศ. กำลังริเริ่มโครงการ PISA for Schools ร่วมกับองค์การ OECD ในการนำเอาแนวทางการประเมินผลแบบ PISA เพื่อมาใช้ประเมินและพัฒนาโรงเรียนไทยที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ และโครงการวิจัยสำรวจทักษะและความพร้อมของกลุ่มประชากรวัยแรงงานที่กำลังจะทำงานร่วมกับธนาคารโลก ซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์จากความรู้ในด้านเทคนิคที่องค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้นำมาถ่ายทอดให้กับบุคลากรในไทยและยังสามารถนำผลการวิเคราะห์มาใช้ในการพัฒนาระบบการศึกษาไปพร้อมกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศได้