บทพระธรรมเทศนาของท่านพุทธทาสภิกขุ หัวข้อ “การศึกษาที่เป็นความก้าวหน้าอย่างถูกต้องของมนุษย์ ต้องเป็นไปทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา นับตั้งแต่คลอดจากท้องแม่จนถึงเข้าโลง” ที่บรรยายธรรมถึงเรื่องการศึกษาว่า ถ้าได้คลอดจากท้องแม่แล้วขอให้ได้รับการศึกษาทันที ให้ดีที่สุดทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของคนคนนั้น บางคนก็ชักจะงงแล้วก็ได้ เมื่ออาตมาพูดว่าเมื่อเด็กคลอดออกมาจากครรภ์มารดาก็รีบให้การศึกษาทันทีให้ดีที่สุดเท่าที่ทารกนั้นจะรับได้
ถ้าท่านเข้าใจถึงขณะนี้ก็เข้าใจว่าการศึกษาให้ได้แม้กระทั่งทารกที่คลอดออกมาเดี๋ยวนี้ ย่อมแสดงว่าท่านเข้าใจความหมายของการศึกษาถูกต้องถึงที่สุด
เดี๋ยวนี้คนโดยมากเข้าใจคำว่าการศึกษาน้อยนัก คือคิดว่าไปโรงเรียนจึงจะมีการศึกษา เขียนอ่านหนังสือหนังหาจึงเรียกว่าการศึกษา ถ้ารู้จักการศึกษาเพียงเท่านี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะฟังเข้าใจว่าเราจะให้การศึกษาแก่ทารกที่สักว่าคลอดจากครรภ์เดี๋ยวนี้ได้อย่างไร
นี่แหละคือข้อที่เราจะต้องให้ความหมายหรือคำอธิบายแก่คำว่าการศึกษาให้สมบูรณ์ การที่ทำให้มันดีขึ้นทั้งทางกาย ทางจิต เรียกการศึกษาได้ทั้งนั้น
ลูกเด็กพอคลอดออกมาได้รับการแวดล้อม ให้รู้จักทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่เด็กทำได้เองนับตั้งแต่วันที่คลอดออกมา เช่น ดูดนมเป็นอย่างนี้ ลูกหมาก็ทำได้ แต่ต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น ต้องแวดล้อมอบรมให้เด็กฉลาดมากกว่าไปกว่าจะดูนมเป็น หรือดูดนมเป็นก็ยังต้องดูดให้ดีมีประโยชน์อย่าให้เกิดโทษ
ทั้งทางกายและทางจิตกับทารกที่เพิ่งคลอดออกมา เพราะท่านทั้งหลายไปคิดดูเอาว่า เราจะแวดล้อมเด็กทารกที่เพิ่งคลอดออกมานี้ ให้ได้รับประโยชน์มากที่สุดดีที่สุดอย่างไร นี่เรียกว่าเราเริ่มให้การศึกษา ตั้งแต่ขั้นแรกตอนแรกแห่งวิวัฒนาการของเขา
เด็กทารกในชั่วโมงแรกคงจะลืมตาไม่ได้ หรือดูดนมไม่ได้ ก็ต้องรอไปตามลำดับ กินน้ำไปก่อนจนกว่าจะดูดนมได้ นี่เป็นโอกาสสำหรับการศึกษาทั้งนั้น ขอให้มีความถูกต้องไปตั้งแต่ระยะนี้ จึงจะเรียกว่าไปตามลำดับทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ
เดี๋ยวนี้เด็กทารกกินอาหารเป็น นั่งได้ เดินได้ วิ่งได้ เล่นหัวได้ รู้จักมีอารมณ์รัก โกรธ เกลียด ยิ่งขึ้นทุกทีจนกว่าจะเป็นหนุ่มสาวทุกขั้นตอน จะต้องได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง
อะไรที่ทำให้เขาได้รับประโยชน์ทุกขั้นตอนเราเรียกว่าการศึกษา รวมทั้งเรื่องในโรงเรียนด้วย ท่านทั้งหลายอย่าได้มุ่งมองไปที่การศึกษาในโรงเรียนอย่างเดียวว่าเป็นการศึกษา
ถ้ามองอย่างนั้นแล้วมันจะโง่มากกว่าครึ่ง เพราะคนเราดีได้ในทางจิตใจนั้น มันไม่ได้รับมาจากโรงเรียนอย่างเดียว และไม่ได้รับมาจากโรงเรียนมากกว่าที่ได้รับจากทางบ้าน จากพ่อแม่ จากพี่เลี้ยง ทุกสิ่งทุกอย่างที่แวดล้อมตัว
สิ่งที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมที่บ้านนั้นมันได้มากกว่าการเรียนหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีค่ามากที่สุดคือสิ่งที่จะสร้างนิสัยใจคอ ทั้ง บิดา มารดาหรือ ทุกคนที่อยูในบ้านในเรือนเขาเป็นอย่างไร เขาอยู่ด้วยนิสัย จริต มารยาทอย่างไร นั่นแหละจะทำให้เด็กเล็กทารกมีนิสัย จิตใจอย่างนั้น
เป็นการศึกษาอย่าลึกซึ้งรุนแรง ไม่ทันรู้ตัว ไม่ต้องรู้ตัว เกิดมาชาติหนึ่ง มีอะไรเป็นนิสัยก็เป็นสิ่งที่ได้ฝังไปลงไปแล้วตั้งแต่เด็กๆ อยู่ในบ้านในเรือนก่อนที่จะไปโรงเรียนด้วยซ้ำไป
เขาจะเป็นคนมีนิสัยดี นิสัยเลว มีนิสัยซื่อตรง คดโกง ขี้โกรธ ไม่ขี้โกรธ จองหอง ไม่จองหอง อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝังลงไปแล้วในนิสัยนั้นตั้งแต่อยู่ที่บ้าน กระทั่งไปโรงเรียนก็มีส่วนที่จะปลูกฝังด้วยเหมือนกัน
นี่คือตัวการศึกษาที่สำคัญที่จะสร้างคนคนนั้นขึ้นมาอย่างไร ให้ดีเลว ให้รอดได้ หรือไม่ให้รอด เราจึงถือว่าการศึกษาที่เป็นความก้าวหน้าอย่างถูกต้องของมนุษย์นั้น ต้องเป็นไปทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา นับตั้งแต่คลอดจากท้องแม่จนถึงวาระสุดท้ายคือการเข้าโลงไปทีเดียว