เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องประชุมเสมอภาค 1-2 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เพื่อเตรียมความพร้อมการคัดเลือกครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 4 โดยมี นายมานิจ สุขสมจิตร เป็นประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์
ทั้งนี้ ดร.เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ได้นำเสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการคัดเลือกครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 4 และขั้นตอนการสรรหา ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งเป็นกลไกการคัดเลือกที่สำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ในการสรรหาและคัดเลือกครูตามสัดส่วนของแต่ละจังหวัดก่อนส่งให้กรรมการส่วนกลาง และกรรมการมูลนิธิพิจารณาตัดสิน
โดยในวันที่ 5 สิงหาคมนี้จะมีการประชุมร่วมกับศึกษาธิการจังหวัด ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการระดับจังหวัด เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจถึงหลักเกณฑ์การคัดเลือกร่วมกัน
ด้าน ดร.กฤษพงศ์ กีรติกร ประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี กล่าวถึงภารกิจของมูลนิธิฯ ที่มากกว่าการสรรหาและการคัดเลือกครู แต่เป็นการสร้างเครือข่ายครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี จาก 11 ประเทศในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ซึ่งกลไกของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ ที่มาจากภาคสื่อมวลชนจะมีส่วนสำคัญในการร่วมเสาะแสวงหาครูดีและสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ของสังคม
ในการนี้ ตัวแทนสื่อมวลชนทุกสาขาพร้อมมีส่วนร่วมในกิจกรรมของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีทุกกิจกรรม
สำหรับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เป็นรางวัลระดับนานาชาติเพื่อเชิดชูเกียรติครูดีเด่นในอาเซียนและติมอร์-เลสเต 11 ประเทศ ซึ่งจะมีการคัดเลือกในทุก 2 ปีครั้ง ซึ่งในปีนี้ถือเป็นการคัดเลือกครั้งที่ 4 โดยคุณสมบัติที่สำคัญของครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีประเทศไทย คือ เป็นครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์ เพื่อให้ลูกศิษย์เจริญก้าวหน้าสู่ความสำเร็จในชีวิต จนมีลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายแวดวงอาชีพกล่าวยกย่องถึงคุณงามความดี และเป็นผู้มีคุณูปการต่อการศึกษา
โดยเป็นแบบอย่างทั้งทางจริยธรรมและการทำงานที่ทุ่มเทกับการสอนหรือการจัดการเรียนรู้ จนมีความแตกฉานทั้งในเนื้อหาและการจัดกระบวนการเรียนรู้ในส่วนที่รับผิดชอบ โดยเป็นครูผู้สอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งในสถานศึกษาหรือครูนอกสถานศึกษา และมีประสบการณ์การสอนอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 15 ปี ซึ่งจะเริ่มกระบวนการคัดเลือกจากความร่วมมือของคณะกรรมการระดับจังหวัดทั่วประเทศ