สมเด็จพระกนิษฐาฯ เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา : ปวงชนเพื่อการศึกษา ในการนี้พระราชทานปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สี่ ทศวรรษ การทรงงานด้านการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส”
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา : ปวงชนเพื่อการศึกษา โดยมีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธาน
กรรมการบริหาร กสศ. นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการการจัดประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา: ปวงชนเพื่อการศึกษา และนายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. เฝ้ารับเสด็จ ในการนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สี่ ทศวรรษ การทรงงานด้านการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส”
จากนั้นทรงฟังการอภิปรายพิเศษโดย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหาร กสศ., นายอมาตยา เซน อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ พ.ศ.2541, นางยาสมิน เชอรีฟ ผู้อำนวยการ Education Cannot Wait, นางอลิส อัลไบร์ท ผู้จัดการ Global Partnership for Education (GPE) ในหัวข้อ “ความหมายของความเสมอภาคทางการศึกษาภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19” (Equitable Education : What does it mean in the Changing World amidst COVID-19 Pandemic?) พร้อมกันนี้ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการเสมือนจริงด้วย
นายอมาตยา เซน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลด้านการพัฒนาและศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ทั่วโลกมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเพื่อปวงชนเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เราเห็นว่าการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราจัดการกับปัญหาใหญ่ๆ ได้รวมถึง COVID-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดอุบัติใหม่ครั้งใหญ่ของโลก
ทั้งนี้เราพบว่าการศึกษาจะเข้ามาช่วยควบคุมและจัดการการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ เพราะเมื่อคนได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกันเขาก็จะสามารถจัดการชีวิตของตนเองได้ และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองจากการได้รับการศึกษาได้ และนอกจากนี้แล้วก็ยังจะมาช่วยกันดูแลสังคมให้เป็นสังคมที่มีคุณภาพได้ด้วยเช่นกัน
นางอลิส อัลไบร์ท ผู้จัดการกองทุนการศึกษาโลก หรือ Global Partnership for Education (GPE) องค์กรที่ให้ทุนเพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษากับประเทศที่กำลังพัฒนามากที่สุดในโลกและให้ทุนกับรัฐบาลของ 60 ประเทศที่ยากที่สุดเพื่อรับมือวิกฤตโควิด-19 กล่าวว่า การเเพร่ระบาดโควิด-19 ยิ่งทำให้สถานการณ์ของเด็กยากจนเลวร้ายลง เมื่อทั่วโลกตัดสินใจล็อคดาวน์ ส่งผลให้เด็กกว่า 1.6 พันล้านคนไม่ได้ไปโรงเรียน เเละมากกว่าครึ่งของเด็กเหล่านั้นอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปิดโรงเรียนเพื่อรักษาชีวิตคนไว้ เเต่เมื่อยิ่งปิดนานเท่าไหร่ ผลที่จะเกิดกับสังคมยิ่งรุนเเรงมากขึ้นเท่านั้น องค์กรมาลาล่าฟันด์ ที่เป็นองค์กรที่ทำงานด้านเด็กเเละสตรี ผลกระทบจากโควิดทำให้ เด็กผู้หญิง 10 ล้านคนที่อยู่ในขั้นมัธยมต้องออกจากระบบการศึกษาไปตลอดกาล เเม้ว่าสถานการณ์จะสิ้นสุดลงเเล้วก็ตามก็ตาม
“ประเทศที่กำลังพัฒนา เศรษฐกิจจะหดตัวลงมากถึง 2.5 % ทำให้เกิดความหายนะครั้งใหญ่ งบประมาณของรัฐลดลงส่งผลต่อการลดงบประมาณด้านการศึกษาประเทศ นอกจากนี้รายได้เศรษฐกิจครัวเรือนลดลงอย่างรุนเเรง ทำให้ครอบครัวไม่สามารถนำเงินมาส่งบุตรหลานเรียนหนังสือได้ ผู้ปกครองต้องเลือกส่งลูกบางคนไปเรียนหนังสือ ผู้หญิงเเละผู้พิการ จะเป็นกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เเละงบประมาณการช่วยเหลือประเทศที่มีรายได้ต่ำจะหายไป เเละจะขาดรายได้ในการระดมทุนช่วยเหลือประเทศที่ยากจน เมื่อเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา เด็กจะสูญเสียการเรียนรู้เเละรายได้ การเลี้ยงชีพตัวเองในอนาคต สูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองไปตลอดชีวิต” นางอัลไบร์ท กล่าว
นางอัลไบร์ท ยังแสดงความยินดีกับความก้าวหน้าในด้านการผลักดันการศึกษาเพื่อความเสมอภาคของกสศ.ในไทย ซึ่งสำหรับ GPE ในฐานะที่ทำงานในด้านนี้มานานกว่า ยอมรับว่า แนวทางและวิธีการแก้ปัญหาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเสมอภาคเท่าเทียมทางการศึกษา ไม่มีสูตรแก้ไขที่สำเร็จตายตัว แต่ GPE ก็พร้อมให้ความร่วมมือในการแบ่งปันข้อมูลหรือองค์ความรู้กับทางกสศ.เพื่อไปให้ถึงความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างยั่งยืน
“ภายใต้สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 บรรดาองค์กรและหน่วยงานด้านการศึกษาทั้งหลาย ควรตระหนักได้เสียทีถึงบทบาทและความจำเป็นของระบบการศึกษาทางไกลด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นแบบไฮเทค โลว์เทค โนเทค หรือมิดเทค (Mid-tech) และให้คุณครูเข้ามามีส่วนร่วมกับการเรียนการสอนทางไกล เราต้องทำให้มั่นใจว่า การศึกษาทางไกลที่นำมาใช้จะต้องไม่ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันขยายวงกว้างมากขึ้น ค่อนข้างเป็นการทำงานที่ยากพอสมควรในการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปในหนทางที่ถูกต้อง เพราะเรามั่นใจว่า เมื่อใดก็ตามที่วิกฤตการระบาดจบลง เราไม่สามารถตื่นลืมตามาเผชิญกับโลกที่ความไม่เสมอภาคเท่าเทียมทางการศึกษาทวีความเลวร้ายรุนแรงมากขึ้น” นางอัลไบร์ท กล่าว
นางยาสมิน เชอรีฟ ผู้อำนวยการ Education Cannot Wait (ECW) กล่าวว่า ECW ประเมินว่า มีเด็กทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษามากถึง 75 ล้านคน ซึ่งตัวเลขนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในวิกฤต COVID-19 สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ความอ่อนด้อยในเชิงโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่การระบาดของ COVID-19 จะกลายเป็นการซ้ำเติม ทำให้การดำรงชีวิตในสังคมยุ่งยากเลวร้าย และเสี่ยงทำให้ครอบครัวที่ยากจนต้องเผชิญหน้ากับภาวะยากจนขั้นสุด (extreme poverty) ที่ในท้ายที่สุดจะส่งผลบีบให้เด็กต้องหลุดออกจากระบบการศึกษากลางคัน ซึ่งการเลิกเรียนกลางคัน ไม่ได้มีผลกระทบต่อโอกาสในการเรียนหนังสือของเด็กเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง ปัญหาทางสังคมอื่นๆ ที่จะตามมา ทั้งเรื่องการใช้แรงงานเด็ก การล่วงละเมิดสิทธิเด็ก การแต่งงานในวัยเยาว์ การเป็นคุณแม่วัยใส การตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์และอื่นๆ อีกมากมาย
“COVID-19 ทำให้ ความไม่เสมอภาคเท่าเทียมในสังคมกลายเป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ขณะที่คนในซีกโลกหนึ่งมีไฟฟ้าใช้เป็นเรื่องปกติ คนอีกซีกโลกหนึ่ง เช่น ในแอฟริกาบางพื้นที่ กลับไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือในกรณีของการศึกษา เด็กสวีเดน สามารถเรียนหนังสือออนไลน์ได้อย่างเต็มที่ เด็กในชาด หรือ ไนจีเรีย กลับไม่สามารถเรียนหนังสือทางไกลได้เลย” ผู้อำนวยการ ECW กล่าว
นางเชอรีฟ ยังกล่าวด้วยว่า สนับสนุนแนวทางการทำงานเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาด้วยการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการข้อมูลและเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นลำดับต้นๆ เรื่องนี้ คือกุญแจ ที่จะทำให้องค์กรและหน่วยงานทั้งหลายมั่นใจว่าจะไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการกระจายทรัพยากรให้ถึงมือทุกฝ่าย ซึ่งทาง ECW ประเมินว่า จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณอย่างน้อย 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี เพื่อส่งต่อการศึกษาที่มีคุณภาพไปถึงมือเด็กๆ อย่างแท้จริง ในภาวะที่การศึกษาต้องตกอยู่ในภาวะชะงักงัน
“แทนที่จะหันไปลงทุนในด้านเสถียรภาพความมั่นคงทางทหาร เพื่อการทำสงครามขจัดความขัดแย้ง เราควรหันมาลงทุนในมนุษย์ มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่า และมีมนุษยธรรมมากกว่า”นางเชอรีฟ กล่าว