“ดร.ประสาร” ชี้ กสศ.ตั้งใจใช้บทเรียนจากสาธารณสุข แก้เหลื่อมล้ำทางการศึกษา เน้นงานวิจัยเชิงระบบ-นวัตกรรม-ภาคีเครือข่าย เพื่อค้นหา ช่วยเหลือ เด็กตกหล่นด้อยโอกาส สร้างเด็กช้างเผือก เพื่อก้าวพ้นความยากจน ระบุ รัฐลงทุนเพื่อความเสมอภาคฯ เท่ากับอุดหนุนสวัสดิการสังคม เสริมการเติบโตเศรษฐกิจประเทศ
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวปาฐกถา หัวข้อ “การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา บทเรียนจากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ในงานรำลึก ๑๒ ปี นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ จัดโดย มูลนิธิมิตรภาพบำบัด (กองทุนนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์) ที่โรงแรมทีเคพาเลซ ตอนหนึ่งระบุว่า ความสำเร็จของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขที่เคยมี ระหว่างคนที่มีฐานะแตกต่างกันในการเข้าถึงบริการของรัฐ เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประชาชนมีความสุข มีหลักประกันในชีวิตว่าจะไม่ต้องเป็นหนี้สินหรือล้มละลายจากค่าใช้จ่ายรักษายามป่วยไข้ และยังทำให้ประเทศไทยที่แม้จะเป็นประเทศกลุ่มรายได้ปานกลาง แต่ยังสามารถเป็นกรณีตัวอย่าง เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ในความสำเร็จทำให้เกิดระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าขึ้นมาได้
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร กสศ.
ดร.ประสาร กล่าวว่า บริการภาคการศึกษา มีโครงสร้างพื้นฐาน ที่คล้ายคลึงกับโครงสร้างของภาคสาธารณสุข และประสบปัญหาหลายๆ อย่างเหมือนกับระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ยากไร้ ด้อยโอกาส เช่น ปัญหาการเข้าถึงโรงเรียนที่มีคุณภาพ ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูงเกินระดับรายได้ครอบครัว การที่เด็กและเยาวชนต้องหลุดออกไปจากโรงเรียนก่อนเวลาอันสมควร ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพระหว่างคนจนกับคนรวย เป็นต้น แม้ว่าประเทศไทยได้ร่วมเป็นภาคีสหประชาชาติ ในการร่างปฏิญญาจอมเทียน เมื่อสามสิบปีที่แล้ว เพื่อเป็นการประกันว่าเด็กทุกคนจะได้รับการศึกษาอย่างถ้วนหน้า (Education for All) และในภาพรวมประเทศไทยมีนโยบายเพิ่มการเข้าถึงการศึกษาที่ดีพอสมควร แต่ยังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ต้องหลุดออกนอกระบบการศึกษา เด็กที่เข้าไปเรียนแต่ไม่มีความพร้อม นักเรียนต้องหยุดเรียนเพื่อช่วยพ่อแม่ทำงาน เด็กที่ไม่มีอาหารมื้อเช้ากินก่อนเข้าเรียน
“สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา พบว่า เด็กที่อยู่ในกลุ่มครอบครัวที่ยากไร้ที่สุดมีโอกาสได้เรียนต่อขั้นสูงกว่าการศึกษาระดับมัธยมปลายเพียง 5% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของครอบครัวทั่วไปที่สามารถส่งลูกเรียนต่อในระดับสูงกว่าชั้นมัธยมปลาย 35% ดังนั้นโอกาสที่เด็กที่มาจากครอบครัวกลุ่มยากไร้ที่สุดจะสามารถขยับตัวให้พ้นจากวงจรความยากจนโดยอาศัยการศึกษาจึงยิ่งเป็นไปได้ยาก”
ดร.ประสาร กล่าวว่า ข้อมูล PISA ปี 2018 พบว่าเด็กกลุ่มฐานะด้อยโอกาส มีความเสียเปรียบในทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ทัศนคติในชีวิต ความเชื่อที่ว่าชีวิตตนเองสามารถพัฒนาและเติบโตได้ (Growth Mindset) หรือแม้แต่การรังแก (Bullying) กัน ก็เกิดในกลุ่มที่ครอบครัวด้อยโอกาสมากที่สุด ข้อมูลล่าสุดจาก PISA ที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของการศึกษาภายในประเทศ ที่ประเทศไทยมีการแบ่งแยกโรงเรียนตามฐานะทางเศรษฐกิจของนักเรียนอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก เป็นรองแค่ประเทศในละตินอเมริกาแค่ไม่กี่ประเทศเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ภาพที่น่ายินดีนัก แต่มีเด็กไทยจำนวนหนึ่ง (ประมาณ 13%) มาจากครอบครัวที่ยากจน (ในกลุ่ม 25% ล่างสุดในสังคม) แต่สามารถทำคะแนน PISA ได้อยู่ในกลุ่มสูงสุด 25% ของประเทศ ซึ่งทาง PISA เรียกว่ากลุ่มเด็กช้างเผือก (หรือ Academic Resilient) เด็กกลุ่มนี้แม้ฐานะยากจน แต่มีความพยายามสูง มีทัศนคติที่ดี มองโลกในแง่บวก มีพ่อแม่ที่แม้จะยากจนแต่ก็สนับสนุนการศึกษา ตัวเขาเองก็มีความหวังที่จะได้เรียนต่อจนจบการศึกษาขั้นสูงสุดเพื่อที่จะข้ามพ้นความจนของครอบครัวได้