การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิตทางการศึกษา บางคนเลือกเรียนต่อสายสามัญ วาดชีวิตปูทางสู่คณะที่สนใจในมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน บ้างเบนเข็มไปเรียนสายอาชีพ วาดหวังได้ฝึกฝนขัดเกลาทักษะวิชาชีพไว้เลี้ยงตัวและครอบครัวในอนาคต แต่สำหรับ อาณัติ เด็กหนุ่มวัย 16 ปี จากอำเภอองค์รักษ์ จังหวัดนครนายก ต้องพ้นจากรั้วโรงเรียน ไปลัดเลาะในไร่นา สะพายถังยาขึ้นบ่าถือหัวฉีดยาฆ่าแมลงพ่นไปบนพื้นที่ร่วม 50 ไร่ต่อวัน เพื่อเลี้ยงดูปากท้องคนในครอบครัว หาเงินค่ารักษาพยาบาลพ่อกับแม่ และเจียดเงินอีกส่วนไว้เป็นค่าเล่าเรียนน้องชายคนเล็กที่กำลังเรียนชั้น ป.4
กฤษณะ มูฮัมหมัด หรือ อาณัติ เล่าว่า ครอบครัวเขามีกัน 6 คน นอกจากพ่อแม่ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานกับน้องชายวัย 10 ขวบ เขามีพี่ชายอีกสองคน คนโตทำงานอยู่กรุงเทพฯ กับพี่ชายคนรองที่ทำงานรับจ้างเหมือนกับเขา แต่เงินรายได้หลักที่ทำให้ครอบครัวพอมีกินมีใช้ทุกวันนี้กลับเป็นภาระของอาณัติเป็นหลัก ด้วยงานรับจ้างทั่วไป ตั้งแต่ตากข้าว เกี่ยวข้าว และงานพ่นยาฆ่าแมลงตามไร่นา ซึ่งเป็นงานหลักที่มีให้ทำสัปดาห์ละ 2-4 วัน แลกกับเงินค่าจ้างคราวละ 150-250 บาท
ก่อนจะเป็นอย่างทุกวันนี้ อาณัติบอกว่าเมื่อก่อนพ่อกับแม่เขาทำงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ในละแวกบ้านเพื่อส่งเสียเขากับน้องเรียนหนังสือ ส่วนตัวเขาเริ่มทำงานในวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันที่โรงเรียนหยุดตั้งแต่เรียนชั้น ม.1 นำเงินที่ได้มาให้แม่เก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน แต่แล้วทางชีวิตของอาณัติก็มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อเรียนอยู่ชั้น ม.3 เมื่อพ่อกับแม่ล้มป่วยลงพร้อมกัน ไม่สามารถทำงานได้อีก ขณะที่ค่ากินอยู่ปากท้องของคนในบ้านยังเท่าเดิม งานพิเศษที่เคยทำเฉพาะวันหยุดจึงต้องกลายมาเป็นงานประจำ เขาเริ่มขาดเรียนครั้งละหลายวัน บางครั้งก็ทั้งสัปดาห์ จนถึงหยุดเรียนเป็นเดือน ที่สุดก็ไม่ได้กลับไปโรงเรียนอีกเลยจนปิดเทอมการศึกษาชั้น ม.3
“ตั้งแต่พ่อกับแม่ป่วย ผมก็ต้องหางานทำให้ได้มากๆ ใครมีงานอะไรให้ทำผมทำหมด แต่งานตากข้าวหรืองานรับจ้างอย่างอื่นมันไม่ได้มีบ่อยๆ จะมีก็งานพ่นยาฆ่าแมลงที่มีให้ทำเกือบทุกวัน ตอนแรกที่ไปทำผมไม่ชอบเลย แต่ทำๆ ไปเริ่มชิน ตอนนี้ไม่คิดอะไรแล้ว ยังไงไปก็ดีกว่า มันเหมือนเป็นหน้าที่ เรื่องยาฆ่าแมลงมีอันตรายผมรู้ครับ แต่ผมอยากได้เงิน” อาณัติเล่าถึงวิธีหาเงินด้วยอาชีพยอดนิยมของคนในชุมชน
กฤษณะ มูฮัมหมัด หรือ อาณัติ เด็กหนุ่มวัย 16 ปี จากอำเภอองค์รักษ์ จังหวัดนครนายก
งานพ่นยาฆ่าแมลงจะเริ่มตั้งแต่เวลาหกโมงเช้าถึงเก้าโมง โดยมีเพียงเสื้อยืดเก่าๆ หนึ่งตัวที่อาณัติต้องพกไปเองเพื่อใช้ปิดจมูกป้องกันกลิ่นยาและสารพิษ วันไหนที่มีงานต่อเนื่องเขาจะตระเวนทำต่อไปจนถึงเที่ยง หรือบางครั้งก็บ่าย เพราะต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น งานจะรับผ่านจากนายหน้าจัดหาคน ซึ่งจะใช้คนประมาณ 4-6 คนต่องานพ่นยาบนพื้นที่ 50 ไร่หรือมากกว่านั้น เมื่อจบงาน นายหน้าจะแบ่งเงินให้แต่ละคนเท่าๆ กัน เงินจำนวนนี้ อาณัติบอกว่าเขาจะนำไปให้แม่เก็บไว้ทั้งหมด สำหรับจ่ายค่ากับข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ บางครั้งก็เป็นค่ารักษาตัวของพ่อกับแม่
อาณัติ เล่าถึงความรู้สึกหลังทำงานว่า “เหนื่อยครับ เสร็จงานทีมันจะรู้สึกล้าไปหมด บางทีผมกลับถึงบ้านต้องนอนพักเป็นวันยังไม่ทันหายเหนื่อย แต่ถ้ามีงานเรียกมาก็ต้องออกไปทำอีก งานพ่นยาครั้งหนึ่งเดินทีก็ประมาณ 50 ไร่ พื้นที่มันใหญ่ ผมเคยพ่นยาแล้วรู้สึกหน้ามืด สายฉีดมันก็ตวัดขึ้นไปโดนคนคุมงาน เขาก็มีดุเอาบ้าง ส่วนเงินที่ทำได้มาผมเอาไปให้แม่หมด บางทีแม่ต้องอยู่โรงพยาบาลสามหรือสี่อาทิตย์ ผมทำงานแล้วก็ต้องไปเฝ้า ส่วนพ่อเขาไม่ชอบโรงพยาบาล แต่พอเป็นหนักๆ เริ่มไม่ไหวเขาก็ต้องไป แม่ก็ต้องไปเฝ้า ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่บ้านผมทำงานแล้วก็ต้องกลับบ้านไปช่วยเลี้ยงน้อง ที่บ้านมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง เงินที่ผมทำงานมาไม่เคยพอใช้ เพราะไปโรงพยาบาลครั้งหนึ่งก็เสียเงินหลายร้อย”
ส่วนเพื่อนที่โรงเรียน อาณัติ บอกว่าหลายคนยังคงติดต่อกันอยู่ ปีนี้เพื่อนๆ ขึ้นชั้น ม.4 บางคนเลือกเรียนสายอาชีพ เขาได้แต่เห็นเพื่อนหรือรุ่นพี่บางคนใส่ชุดนักเรียนอาชีวะแล้วนึกไปว่า หากได้สวมใส่เครื่องแบบอย่างนั้นบ้าง ชีวิตเขาคงมีความสุขกว่าที่เป็น และคงทำให้เดินเข้าใกล้ความฝันว่าอยากเปิดอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเองได้อีกสักหน่อย
“ผมคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในโรงเรียนเลยครับ อยากอยู่ที่โรงเรียนนานๆ มันสนุกดี ได้อยู่กับเพื่อน รู้สึกสบายใจ มีเพื่อนคอยช่วยเหลือกัน เพื่อนที่โรงเรียนตอนนี้ผมก็ยังติดต่อกันอยู่ แต่ไม่เคยไปเที่ยวด้วยกัน ผมต้องทำงาน บางคนเขาก็มาเล่าว่าเรียน ม.4 ไม่เหมือนตอน ม.ต้น ผมฟังแล้วก็คิดว่าอยากไปเรียนบ้าง อยากเรียนให้จบ เอาความรู้ อยากเรียนซ่อมรถ ผมอยากเป็นช่าง อยากเปิดอู่” อาณิต เล่าฝันของเขา
นายสมศักดิ์ มะฮะหมัด พ่อของอาณัติ พูดถึงลูกชายว่า อาณัติชอบไปโรงเรียน อยากเรียนหนังสือ แต่ตอนนี้เขาต้องออกมาทำงานเพราะพ่อแม่ป่วยทำงานไม่ได้ ก็เลยไม่มีเงินส่งเสียให้เขาเรียนต่อ งานที่เขาจะทำได้ในละแวกบ้านก็มีแต่งานพ่นยา เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าไม่ทำครอบครัวก็ไม่มีกิน ตนมองว่าอาณัติเป็นเด็กที่เสียสละ ยอมทำงานเพื่อให้พ่อแม่มีกิน มีเงินค่ารักษาตัวและน้องได้ไปเรียนหนังสือ หากเป็นไปได้ก็อยากให้มีหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้ลูกกลับไปเรียนอีกครั้ง
ทางด้าน ครูสยุมพร ไพเราะ ครูโรงเรียนภัทรพิทยาจาร อาจารย์ที่ปรึกษาของอาณัติ กล่าวถึงลูกศิษย์ว่า กฤษณะเป็นเด็กสุภาพเรียบร้อย เงียบขรึม มีความมุ่งมั่น และมีจิตอาสาช่วยเหลืองานครูมาตลอด เขาเริ่มขาดเรียนบ่อยตั้งแต่ชั้น ม.2 ทราบว่าต้องช่วยที่บ้านทำงานเนื่องจากพ่อแม่ป่วย จนขึ้นชั้น ม.3 ก็ขาดเรียนมากขึ้น เริ่มจากคราวละสัปดาห์จนถึงเป็นเดือน และที่สุดก็หายไปจากโรงเรียนโดยยังไม่จบชั้น ม.3 เมื่อตนไปตามที่บ้านก็ไม่พบเนื่องจากเด็กออกไปทำงาน กรณีนี้สำหรับเด็กที่นี่ ด้วยสภาพแวดล้อม ด้วยบริบทครอบครัว ส่วนใหญ่เขาต้องเลือกทำงานหาเงินเป็นอย่างแรก มีงานอะไรที่ทำแล้วได้เงินเขาก็ต้องคว้าเอาไว้ ต่อให้เป็นงานที่มีอันตรายหรือไม่เหมาะสมกับวัยของเขา เด็กหลายคนเลยต้องพ้นจากระบบการศึกษาไปโดยปริยาย แต่สำหรับกฤษณะตนคิดว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย เนื่องจากเรียนมาจนจะครบปีการศึกษาแล้ว ทั้งรับรู้มาตลอดว่าเจ้าตัวรักโรงเรียนและอยากเรียนหนังสือต่อ จนต้องติด ร. อยู่ 1 วิชา ปัจจุบันอาณัติได้แก้ ร.เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างจัดทำเอกสารเพื่อทำเรื่องจบการศึกษาชั้น ม.ต้น
ขณะที่ นางกุลพรภัสร์ จิระประไพ เจ้าหน้าที่สำนักงานสถิติจังหวัดนครนายก ระบุว่า อาณัติเป็นเด็กที่ไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีการสำรวจเด็กนอกระบบในจังหวัด เนื่องจากยังมีรายชื่อค้างอยู่ในโรงเรียน เพราะเขาเพิ่งพ้นจากสภาพนักเรียนยังไม่ครบหนึ่งปีการศึกษา โดยหลังจากที่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับเรื่องจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ให้ค้นหาเด็กนอกระบบทั้งหมดในพื้นที่ ทางสำนักงานสถิติจังหวัดนครนายกจึงได้ร่วมมือกับสำนักพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และได้พบว่าอาณัติอยู่ในกรณีที่ต้องได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วน เนื่องจากเด็กต้องไปรับจ้างทำงานพ่นยาฆ่าแมลงในไร่ ซึ่งเป็นงานที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งจากสภาพความเป็นอยู่และผู้ปกครองที่ไม่สามารถทำงานได้ ทำให้เด็กต้องออกจากโรงเรียนมาหาเงินจุนเจือครอบครัว และมีแนวโน้มหลุดพ้นระบบการศึกษาอย่างถาวร
ทั้งที่เจ้าตัวมีความประสงค์อยากเรียน ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ได้รับทุนสนับสนุนจาก กสศ.
สำหรับอาณัติเมื่อรู้ว่ามีโอกาสจะได้กลับไปโรงเรียนอีกครั้ง เจ้าตัวได้กล่าวขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือไปยังผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รู้สึกตื่นเต้น ดีใจ และบอกกับตนเองว่าจะใช้โอกาสที่ได้รับมาให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัวมากที่สุด
“ผมคิดมาตลอดว่า ถ้ามีงานอื่นหรือทางเลือกอื่นผมก็คงเลิกพ่นยา แต่ตอนนี้ไม่มีทางไหนเลย มีแต่งานจ้างพ่นยา ถ้าเลือกได้จริงๆ ผมอยากเรียนมากกว่า คิดว่าถ้าได้เรียนผมจะเรียนช่างยนต์ ผมจะได้เปิดอู่ อยากทำอู่เป็นของตัวเอง หาเงินไว้ให้พ่อกับแม่ น้องก็จะได้เรียนสูงๆ” อาณัติ กล่าวทิ้งท้าย
แม้วันนี้ผลตรวจการคัดกรองสุขภาพและสารเคมีในเกษตรกร โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ระบุว่า ผลการตรวจสุขภาพสมาชิกในครอบครัวทุกคนในบ้าน ชี้ว่า
อาณัติและพี่ชายซึ่งทำงานรับจ้างพ่นยาฆ่าแมลงด้วยกัน มีผลการตรวจสารเคมีในร่างกายอยู่ในระดับมีความเสี่ยง ซึ่งจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี และได้รับความรู้เรื่องการใช้อุปกรณ์ป้องกันสารเคมี โดยหลังตรวจร่างกาย ทางโรงพยาบาลได้ให้การดูแลเบื้องต้น กำหนดนัดตรวจซ้ำ และแนะนำให้หลีกเลี่ยงจากสภาพแวดล้อมหรือทำงานที่เสี่ยงต่อการรับสารเคมีเพิ่มเติม