นับเป็นภาระอันหนักอึ้งของ นิตยา อ้นทอง คุณแม่วัย 43 ปี ที่ต้องเลี้ยงดูลูกถึง 6 คน กำลังอยู่ในวัยเรียน โดยมี พี่สาว ซึ่งไม่มีลูกช่วยรับลูก คนที่ 2, 3และ 5 ไปช่วยดูแล โดยเธอจะเลี้ยงดูลูกคนที่ 1, 4 และ “น้อง” ลูกสาวคนสุดท้อง
ในแง่ค่าใช้จ่าย คุณพ่อจะรับหน้าที่ดูแลในส่วนของค่าใช้จ่าย ค่ารถ ค่าบ้าน ส่วนคุณแม่จะรับหน้าที่ดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ค่ากิน ค่าข้าวของเครื่องใช้ โดยทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้านคอนโดมิเนียม
“ยิ่งลูกโตขึ้นค่าใช้จ่ายก็ยิ่งโตตามตัว หลายอย่างก็ต้องเจียด ต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง ประหยัดมากขึ้น อะไรลดได้ก็ต้องลด ไม่พยายามมีหนี้มีสิน ถึงจะเหนื่อยอย่างไรก็ต้องดูแลลูก ลูกต้องได้เรียนดีๆทำงานทุกอย่างเพื่อลูก พ่อเขาก็จะทำทุกงานทุกอย่าง”
ตอนเช้า นิตยา จะไปส่ง “น้อง” ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ย่านประชานิเวศน์ 3 ตกช่วงบ่าย ลูกชายคนโตที่เรียน การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) จะมารับน้อง ตอนนี้เขาอยากเรียนอะไรก็จะให้เขาเรียน เพราะเด็กสมัยนี้เขาไม่ค่อยอยากเรียน อย่างตอนนี้น้องอยากเรียนนาฏศิลป์ เขาชอบเราก็ให้เขาเรียน
“ทำงานเหนื่อยมากแต่พอเห็นพวกเขาเราก็ไม่เหนื่อย มีแรงสู้ต่อ ทีแรกก็ท้อเหมือนกัน คิดหลายอย่างถ้าเราท้อลูกจะอยู่อย่างไร ก่อนหน้านี้เคยตรวจเจอเนื้องอกที่หน้าอก หมอบอกอาจเเป็นมะเร็งเต้านม ตอนนั้นไม่ได้ทำอะไรไปอาทิตย์หนึ่ง กลัวเป็นแต่พอตรวจละเอียดแล้วไม่ได้เป็นก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่”
นิตยา บอกว่า ตอนนั้นคุณแม่ของเราบอกว่า ถ้าเราไม่สู้แล้วลูกจะอยู่ยังไง ถ้าเราตายไปใครจะหาให้ลูกกิน ลูกจะอยู่ยังไง เราก็ได้ลูกเป็นกำลังใจ อย่างเวลาท้อ ลูกก็จะมาถามแม่เหนื่อยไหม แล้วจะสู้ไหม ฟังแล้วก็มีกำลังใจสู้ต่อ บางทีเราท้อ เราเหนื่อย เขาก็บอกต่อไปหนูจะช่วยแม่ แล้วเขาก็ทำตามที่พูด
“อยากให้ลูกทำอะไรดีๆ กับตัวเขาเอง เพราะไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวเขาเอง แม่ก็พูดตลอดให้เรียนหนังสือ ไม่เรียนไม่มีใครช่วย คนอื่นเขาก็ต้องดูแลตัวเอง ลูกก็ต้องดูแลตัวเอง แม่ก็สู้มาแต่เล็กจนโตตอนนี้แม่ก็สู้เพื่อลูกแต่ลูกก็ต้องสู้เพื่อตัวเองด้วย” นิตยากล่าว