“ครูรัก(ษ์)ถิ่นคือโอกาส การศึกษาต่อของหนูเพื่อกลับไปพัฒนาบ้านเกิด ครอบครัว และชุมชน และไม่ได้มีแค่ชุมชนหนูชุมชนเดียว แต่ยังมีเครือข่ายครูรัก(ษ์)ถิ่นกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ที่จะเริ่มจากพัฒนาตัวเอง พัฒนาชุมชน เมื่อรวมกันแล้วก็จะขยายตัวเป็นพลังในการพัฒนาประเทศต่อไป”
แจ๋ว-สุดารัตน์ เพ็ญคำ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 เอกการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ สมาชิกครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นแรก ที่กำลังเดินหน้าสะสมความรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อกลับไปบรรจุเป็นครูที่บ้านเกิด โรงเรียนแก้งนาง ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/10/231330.jpg)
ก่อนหน้านี้แจ๋วเคยมีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากเป็นครู เพราะได้รับการดูแลจากคุณครูช่วงวัยเด็กเป็นอย่างดี นอกจากสอนหนังสือปกติแล้ว คุณครูยังคอยดูแล ออกเงินส่วนตัวมาเป็นค่าอาหารกลางวัน เอาใจใส่เหมือนลูกคนหนึ่ง ทำให้ความประทับใจในครั้งนั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเป็นครู เพื่อส่งต่อโอกาสดีๆ ไปยังเด็กคนอื่น
แต่ด้วยฐานะทางบ้านไม่ดีทำให้ความฝันสะดุดลง ช่วงกำลังจะจบ ม.6 เธอ เตรียมตัวจะหยุดเรียน เข้ามาหางานทำที่กรุงเทพฯ เพื่อแบ่งเบาภาระที่บ้าน แต่ “โอกาส” มาถึงหน้าประตูบ้านอีกครั้ง ครูมัธยมที่รู้ว่าแจ๋วมีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากเป็นครู เดินทางมาหายายถึงที่บ้านเพื่อชี้แจงว่ามีโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/10/231336.jpg)
“ที่บ้านไม่เคยมีใครได้เรียนต่อ ส่วนใหญ่จบ ม.6 ก็ออกไปหางานทำกันหมด คุณครูต้องเดินทางมาหาถึงที่บ้าน เพื่ออธิบายให้ยายฟังว่าทุนนี้ให้ทั้งค่าเรียน ค่ากินอยู่ ทุกอย่าง จบมาก็ได้มาบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนในชุมชน โน้มน้าวจนคุณยายเห็นด้วย แล้วก็ไปเตรียมเอกสารสมัคร อาจารย์จากมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ก็มาสัมภาษณ์ มาดูความเป็นอยู่ที่บ้าน”
ไม่ใช่แค่ขายฝัน
แต่ต้องลงมือทำก่อนที่จะไปแนะนำชาวบ้าน
หลังประกาศผลว่าได้รับทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น ก็เข้ามาเตรียมตัวปรับพื้นฐานความเป็นครูที่มหาวิทยาลัยก่อนเปิดเทอม 12 วัน จากนั้นก็ลงไปเก็บข้อมูลพื้นที่ชุมชนของตัวเอง เพื่อสำรวจปัญหา
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/10/231333.jpg)
เป้าหมายที่ลงไปสำรวจมีอยู่ 5 ด้าน เช่น การศึกษาก็ไปโรงเรียนที่จะไปบรรจุ สภาพแวดล้อมก็ไปที่เทศบาล อนามัย อำเภอ ความเป็นอยู่ก็ไปที่ชุมชน แจ๋วพบว่าปัญหาในพื้นที่คือชาวบ้านมีรายได้น้อยจากการเกษตรที่ส่วนใหญ่ปลูกข้าวและมันสำปะหลัง
ความตั้งใจของแจ๋วคือการพัฒนาด้านการเกษตร ให้มีพืชหมุนเวียนเสริมเพิ่มมากขึ้น เช่น ปลูกกล้วย ถั่ว เพื่อให้มีผลผลิตตลอดทั้งปี
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/10/231331.jpg)
“สิ่งสำคัญคือเราต้องทำให้ชาวบ้านเห็นว่าทำได้จริง ไม่ใช่แค่ไปบอกเขาว่าให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้เพียงอย่างเดียว หรือแค่ขายฝันเท่านั้น เราต้องทำเป็นตัวอย่าง มีความน่าเชื่อถือ ลงมือเรียนรู้ด้วยตัวเองก่อน เพื่อจะได้ไปบอกเขาได้ ต้องทำแบบนี้ ปลูกแบบนี้ โชคดีมีมหาวิทยาลัย มีศูนย์วิจัยและฝึกอบรมภูสิงห์ ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ทั้งด้านการเกษตรและประมง”
เรื่องการเรียนปัญหาที่พบคือ ผู้ปกครองไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา แต่มุ่งไปที่การทำงานหาเงิน บางครั้งปล่อยให้เด็กเล่นแต่โทรศัพท์ ผลที่ตามมาคือเด็กสมาธิสั้น เราต้องเปลี่ยนความคิดผู้ปกครอง ช่วยกันทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน มีพัฒนาการตามวัย และต้องแสดงให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญของการศึกษา สนับสนุนให้บุตรหลานมาเรียน ไม่ออกไปรับจ้างทำงานก่อนเรียนจบ
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/10/231335.jpg)
“ตั้งใจว่าอยากจะกลับไปช่วยพัฒนาการศึกษาให้เด็กๆ ได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกับเด็กในเมือง สิ่งหนึ่งที่จะทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพได้คือ การสอนในสิ่งที่เด็กสนใจ ไม่ใช้วิธีการบังคับ แต่ให้อิสระเลือกว่าเขาอยากทำอะไร เราก็ค่อยๆ ป้อนความรู้ให้เขา เพราะถ้าไปบังคับ เด็กก็จะเครียดและมีทัศนคติไม่ดีต่อการเรียนรู้”
รู้จักชุมชน รู้จักเด็ก พัฒนาได้ดียิ่งขึ้น
เด็กปฐมวัยเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เพราะเป็นก้าวแรกที่จะเติบโตไปสู่โลกกว้าง เราต้องให้ความสำคัญกับพวกเขา ถ้ากลับไปเป็นครูในพื้นที่ก็จะตั้งใจดูแลเด็กๆ ตอนนี้เริ่มออกแบบสื่อการสอนที่จะช่วยพัฒนาเด็ก ซึ่งสื่อการสอนที่ดีไม่จำเป็นต้องแพง แต่สามารถออกแบบเชื่อมโยงจากสิ่งที่อยู่รอบตัว มากระตุ้นความสนใจให้เกิดการเรียนรู้ได้
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/10/231332.jpg)
“ตอนนี้นำแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ มาปรับใช้ในการทำสื่อการสอน ที่เน้นใช้วัสดุจากธรรมชาติ ทั้งดอกไม้ ต้นไม้ สิ่งที่อยู่รอบตัว เช่น กว่าจะเป็นผีเสื้อ ต้องเป็นหนอน เป็นดักแด้มาก่อน สื่อการสอนที่ทำก็จะเป็นกล่องที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ มีรูปผีเสื้อเกาะ มีเมฆ เพราะสื่อหนึ่งอาจจะไม่ได้โฟกัสแค่จุดเดียว แต่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เด็กอยากจะรู้ได้”
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/10/231334.jpg)
ข้อดีของการเป็นคนในพื้นที่คือทำให้รู้จักชุมชนได้ดีกว่าคนอื่น แก้ปัญหาได้ดีกว่าคนอื่น โดยเฉพาะการที่รู้จักครอบครัวของเด็กๆ ในชุมชนด้วยแล้ว ยิ่งเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนาและช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น
“ชุมชนของเรา เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น แม้จะไม่มากนัก แต่ก็ขอเป็นส่วนเล็กๆ ที่นำการศึกษาไปสู่การพัฒนาชุมชนอย่างอย่างยั่งยืน”