หน่วยงานทางด้านการศึกษาในรัฐเวอร์มอนต์ ของสหรัฐฯ เตรียมดำเนินการโครงการ “test to stay” ซึ่งมีเป้าหมายเปลี่ยนพื้นที่โรงเรียนให้เป็นที่พักชั่วคราวแก่นักเรียนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนให้สามารถกักตัวอยู่ในโรงเรียนได้ หากบังเอิญมีประวัติเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 โครงการนี้จะช่วยเอื้อให้เด็กนักเรียนในพื้นที่เวอร์มอนต์ยังสามารถเรียนหนังสือต่อได้ โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มยากจนซึ่งมักต้องเช่าบ้านอยู่หรือไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า รัฐเวอร์มอนต์จะเริ่มต้นการทดสอบในต้นเดือนตุลาคมนี้ โดยเบื้องต้นจะเปิดรับอาสาสมัครในกลุ่มเด็กนักเรียนเข้ามาทดสอบดูก่อน ภายใต้มาตรการความปลอดภัยตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มงวด โดย ฟิล สก็อตต์ (Phil Scott) ผู้ว่าการรัฐเวอร์มอนต์ ซึ่งสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ระบุว่า ความตั้งใจหลักของโครงการคือให้นักเรียนได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนอย่างต่อเนื่องที่สุด ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับความต้องการของเด็กๆ
ทั้งนี้ โครงการจะเริ่มต้นด้วยการใช้ชุดตรวจโควิด-19 (rapid COVID-19 tests) เพื่อตรวจเด็กนักเรียนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน แต่มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยโควิด-19 จนทำให้เด็กกลุ่มนี้จำเป็นต้องหาสถานที่กักตัว จนไม่อาจเดินทางไปโรงเรียนได้
สก็อตต์ ผู้ว่าการรัฐกล่าวว่า ส่วนใหญ่แล้วนักเรียนกลุ่มนี้ไม่มีอาการและไม่ได้ติดเชื้อจนกลายเป็นผู้ป่วยรายใหม่ ถึงอย่างนั้นเด็กๆ ก็จำเป็นต้องกักตัวเพื่อความปลอดภัย พวกเขาจึงสูญเสียทั้งเวลาและโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือ ทั้งๆ ที่จำเป็นจะต้องเร่งฟื้นฟูความรู้ที่สูญหายไป หลังจากไม่สามารถไปโรงเรียนได้นานกว่า 1 ปี
“ชั่วโมงเรียนที่ห้องเรียนอันแสนมีค่าต้องสูญไปโดยใช่เหตุ กลายเป็นอุปสรรคให้โรงเรียนต้องแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม รวมถึงเพิ่มภาระงานให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องปรับเปลี่ยนเวลางานมาคอยดูแลลูกๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการเรียนของลูกในช่วงกักตัวจะไม่ล้าหลังเพื่อน หรือเรียนตามเพื่อนไม่ทัน” สก็อตต์กล่าว
ด้านแดน เฟรนช์ (Dan French) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประจำรัฐเวอร์มอนต์กล่าวว่า แม้จะบอกว่าเปิดเป็นที่พำนักชั่วคราว แต่ในช่วงนำร่องทดสอบโครงการ ทางโรงเรียนจะดำเนินการเพียงแค่อนุญาตให้เด็กที่มีประวัติคลุกคลีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สามารถเดินทางมาเรียนหนังสือที่โรงรียนได้ตามปกติ โดยทุกเช้า เด็กเหล่านี้ต้องเข้ารับการตรวจโควิด-19 อย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 7 วันนับตั้งแต่วันสุดท้ายที่มีประวัติใกล้ชิดผู้ป่วย และตราบใดที่ผลตรวจเป็นลบ เด็กจะสามารถเข้าเรียนและอยู่ที่โรงเรียนได้ตามปกติ
ระหว่างที่โครงการ “test to stay” ดำเนินการไปในทุกโรงเรียนในพื้นที่ของรัฐเวอร์มอนต์นั้น ทางการก็จะออกข้อบังคับควบคู่กันไปว่า นักเรียนทุกระดับชั้นต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดช่วงที่อยู่ในโรงเรียนอย่างน้อยจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน จากนั้นจะนำผลทดสอบที่ได้มาประเมินผล และขยายการใช้งานโครงการนี้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทางการรัฐเวอร์มอนต์ระบุว่า กรณีที่โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนได้รับวัคซีนครบโดสมากกว่า 80% แล้ว โรงเรียนสามารถยกเลิกข้อบังคับสวมหน้ากากในพื้นที่โรงเรียนได้ ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนส่วนมากที่นักเรียนฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์แล้วคือโรงเรียนระดับมัธยม เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายสหรัฐฯ อนุญาตให้ฉีดวัคซีนในเด็ก 12 ปีขึ้นไปเท่านั้น
สำหรับการตัดสินใจขยายระยะเวลาบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยออกไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนนี้ สืบเนื่องจากทางการรัฐเวอร์มอนต์ต้องการระยะเวลาในการติดตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 หลังมีรายงานพบตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นในบางพื้นที่
รายงานระบุว่า โครงการทดสอบ “test to stay” ได้รับเงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากพระราชบัญญัติ American Rescue Plan Act ของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน มูลค่ารวมกว่า 10.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยพระราชบัญญัตินี้มีเป้าหมายช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนอเมริกันในการประคับประคองกิจการและชีวิตความเป็นอยู่ให้ผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบาก โดยเปิดให้ประชาชน เจ้าของธุรกิจ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่สนใจยื่นเอกสารเข้ามาขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐได้จนถึงวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2021
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขแห่งรัฐเวอร์มอนต์รายงานว่า ยอดผู้ติดเชื้อโดยรวมของรัฐลดลงมาต่ำกว่า 33,000 รายแล้ว อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในรอบ 7 วันภายในรัฐเวอร์มอนต์ เพิ่มขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจาก 162.71 รายต่อวัน เป็น 209.57 รายต่อวัน
ที่มา : Vermont working on testing program to keep kids in school