รัฐบาลท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางการศึกษาในมหานครนิวยอร์กเดินหน้าเปิดบัญชีเงินฝากพร้อมเงินขวัญถุงมูลค่า 100 เหรียญสหรัฐ (ราว 3,327 บาท ) ให้เด็กอนุบาลในโรงเรียนอนุบาลของรัฐทุกคน โดยตั้งเป้าให้เป็นเงินออมเพื่อการศึกษาที่เด็กๆ สามารถนำไปใช้เพื่อเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย หรือจะนำไปพัฒนาทักษะอาชีพก็ได้ ทั้งนี้เงินในบัญชีจะได้รับการจัดสรรปันส่วนจากกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐที่นำลงไปทุนและนำกำไรมาปันผลเข้าบัญชีเหล่านี้ นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางสนับสนุนอัตราการศึกษาต่อในระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยของเด็กและเยาวชนทั่วสหรัฐฯ ที่หลายรัฐกำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้
เว็บไซต์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า หลังจากริเริ่มโครงการนำร่องไว้เมื่อ 4 ปีก่อน ในที่สุดรัฐบาลท้องถิ่นของมหานครนิวยอร์กก็ได้เริ่มต้นโครงการเปิดบัญชีเงินออมเพื่อการศึกษาขึ้นแล้วในปีนี้ โดยโครงการนี้จะมอบบัญชีออมทรัพย์ให้แก่เด็กอนุบาลทุกคนในโรงเรียนอนุบาลของรัฐจำนวนประมาณ 70,000คน ซึ่งบัญชีนี้จะมีเงินฝากเบื้องต้นให้อยู่แล้วจำนวน 100 เหรียญสหรัฐ
กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบัญชีทุนเพื่อการศึกษาล่าสุดของรัฐบาลที่ใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยให้เด็กทุกคนก้าวไปสู่การศึกษาในระดับที่สูงกว่าชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งรัฐจะจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง เพื่อนำกำไรจากการลงทุนที่ได้มาปันผลฝากเข้าบัญชีให้กับเด็กอนุบาล
ดังนั้น เด็กอนุบาลในแต่ละรุ่นจะมีเงินฝากเข้าบัญชีทุกปีจนกว่าจะเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยจำนวนเงินในบัญชีที่ฝากอยู่ในบัญชีเมื่อเด็กสำเร็จการศึกษาจะอยู่ที่ราว 3,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 99,384 บาท) ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนที่น้อยนิดและไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าตำราเรียนในช่วงเรียนระดับปริญญาตรี 4 ปีได้ กระนั้นทีมนักวิจัยระบุว่า การมีโครงการดังกล่าวมีคุณค่ามากกว่ามูลค่าของตัวเงินที่ได้รับ เพราะเงินตั้งต้นก้อนนี้ช่วยให้เด็กและครอบครัวมีกำลังใจที่จะมุมานะบากบั่นเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษาต่อไปนั่นเอง
ฮัดสัน-ฟิเกอรัว (Hudson-Figueroa) แม่ม่ายวัย 29 ปี กล่าวว่า ก่อนที่จะลูกสาว (ปัจจุบันอายุวัย 14 ปี) จะได้รับเงินช่วยเหลือในโครงการนี้ ตนเองและลูกไม่เคยคิดหารือเรื่องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมาก่อน แต่พอรู้ว่ามีเงินในบัญชีจำนวนหนึ่ง ทำให้เจ้าตัวและลูกมองเห็นความเป็นไปได้มากขึ้น
สำหรับโครงการบัญชีเงินออมของเด็ก (Child savings account) หรือที่รู้จักกันดีในนามบัญชีเงินออมเพื่อการพัฒนาเด็ก (Child development accounts) ได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีเมืองซานฟรานซิสโกและเมนเป็นสองพื้นที่แรกในสหรัฐฯ ที่ริเริ่มบุกเบิกโครงการบัญชีเงินฝากดังกล่าว
ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วเงินงบที่จัดไว้จะเข้าไปลงทุนในแผนการออมที่ชื่อ “แผน 529” ซึ่งเป็นแผนการออมสำหรับการศึกษา ทั้งนี้รายได้ที่ได้จากการลงทุนนี้จะปลอดจากภาษีและจะสามารถเบิกถอนได้เฉพาะกรณีนำเงินดังกล่าวไปใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือการฝึกอบรมทักษะทางอาชีพเท่านั้น
ขณะเดียวกัน การจัดทำโครงการบัญชีเงินออมของเด็กนักเรียนยังเป็นช่องทางสำคัญในการจัดระบบโครงสร้างพื้นฐาน ที่เปิดทางให้องค์กรอิสระ เอกชน และชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการส่งผ่านเงินบริจาคหรือความช่วยเหลือต่างๆ ไปยังนักเรียนในพื้นที่ โดยเฉพาะจากครอบครัวยากจนและกลุ่มคนด้อยโอกาสได้ทั่วถึงครอบคลุมมากขึ้น
วิลเลียม เอเลียตต์ ที่สาม (William Elliott III) ศาสตราจารย์ด้านสังคมสงเคราะห์แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่า การมีบัญชีเงินออมของตนเองทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามากกว่าเด็กที่ไม่มีบัญชีเงินออม 3-4 เท่า แม้เงินในบัญชีจะมีเพียงจำนวนน้อยนิดและไม่พอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายตลอด 4 ปีของการเรียนในระดับปริญญาตรีก็ตาม เพราะการมีบัญชีทำให้เด็กรู้สึกว่าอย่างน้อยการศึกษาต่อมีรูปธรรมที่จับต้องได้ มีตัวช่วยให้สามารถเปลี่ยนโชคชะตาและอนาคตของตนเองได้
สำหรับโครงการบัญชีเงินออมทางการศึกษาเพื่อเด็กของนิวยอร์กจะลงทะเบียนให้นักเรียนทุกคนโดยอัตโนมัติโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางการเงินหรือการย้ายถิ่นฐานของครัวเรือน เมื่อบัญชีถูกลงทะเบียนในระบบเรียบร้อยแล้ว ทางรัฐจะแจ้งให้ครอบครัวทราบ ทั้งยังกระตุ้นให้ครอบครัวออมหรือลงทุนในบัญชีเพิ่ม โดยหากทำตาม จะมีเงินสมทบเพิ่มตามแผนออมให้ โดยจะเติมลงในบัญชีให้อัตโนมัติและต่อเนื่องจนกว่าเด็กๆ จะสำเร็จการศึกษาภาคบังคับ
รายงานระบุอีกว่า เงินออมการศึกษาของรัฐนิวยอร์กส่วนนี้จะถูกนำไปลงทุนในแผน “NY 529 Direct” ซึ่งอยู่ในกองทุนรวม Vanguard จากนั้นรายได้และผลกำไรจากการลงทุนจะถูกนำฝากเข้าบัญชีต่อไปเรื่อยๆ ทำให้มีจำนวนเงินเพิ่มมากขึ้นเมื่อนักเรียนใกล้จะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย ทั้งนี้นักเรียนต้องถอนเงินทุนการศึกษาและนำออกมาใช้จ่ายภายใน 20 ปีนับแต่จบชั้นอนุบาล มิฉะนั้นเงินในบัญชีจะถูกส่งคืนไปยังโครงการเพื่อช่วยนักเรียนรุ่นต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ในปี 2019 รัฐบาลท้องถิ่นในแคลิฟอร์เนีย โคโลราโด อิลลินอยส์ และเนแบรสกาได้ผ่านร่างกฎหมายในการจัดตั้งโครงการบัญชีเงินออมเพื่อเด็ก ซึ่งแต่ละรัฐจะใช้ชื่อเรียกโครงการที่แตกต่างกันออกไป โดยข้อมูลล่าสุดของ Prosperity Now พบว่า จนถึงสิ้นปี 2020 มีบัญชีเงินออมของเด็กในโครงการแล้วมากกว่า 922,000 บัญชี ครอบคลุมพื้นที่ 36 รัฐทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2019 ก่อนหน้าถึง 30% และรัฐที่มีบัญชีเงินฝากมากที่สุดคือ เมน เพนซิลเวเนีย เนวาดา และซานฟรานซิสโก ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นในรัฐเหล่านี้จะลงทะเบียนให้เด็กทุกคนได้รับบัญชีโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม หากจะให้ย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น บัญชีออมทรัพย์สำหรับเด็กเกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้วโดยไมเคิล เชอราเดน (Michael Sherraden) ผู้ก่อตั้งศูนย์เพื่อการพัฒนาสังคมที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันในเซนต์หลุยส์ ที่เสนอให้สร้างบัญชีสำหรับเด็กทุกคนตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งในปี 2007 เชอราเดนได้เป็นหัวหน้านักวิจัยในการทดลองเพื่อติดตามทารกแรกเกิด 2,700 คนในโอคาโฮมา โดยสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ ครึ่งหนึ่งได้รับบัญชี 1,000 เหรียญสหรัฐตั้งแต่แรกเกิด อีกครึ่งหนึ่งไม่ได้รับอะไรเลย ก่อนพบว่าบัญชีดังกล่าวทำให้ทั้งผู้ปกครองและเด็กมีความคาดหวังเกี่ยวกับอนาคตทางการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น
แม้จนถึงขณะนี้ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่จะไม่ใช่กลุ่มครอบครัวผู้มีรายได้น้อยโดยตรง แต่ฝ่ายที่สนับสนุนโครงการเชื่อมั่นว่าการเปิดบัญชีให้เด็กแรกเกิดทุกคนโดยอัตโนมัติจะช่วยให้โครงการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กระทั่งนำไปสู่การลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในท้ายที่สุด
ที่มา : Seeding Accounts for Kindergartners and Hoping to Grow College Graduates