ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพากรขยายเวลาลดหย่อนทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลและนิติบุคคลที่บริจาคให้กับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในรูปการบริจาคที่กระทำผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (E–Donation) เป็นจำนวน 2 เท่าออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จากเดิมที่สิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพื่อจูงใจให้บริจาค ช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมถึงการเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพครู
สำหรับบุคคลธรรมดาจะลดหย่อนภาษีได้เป็น 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมิน หลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่นๆ
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้หักเป็นรายจ่ายได้เป็น 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาค ไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา สำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ ต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬาตามมาตรา 65 ตรี (3) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร
“กฎหมายฉบับนี้มีส่วนยกระดับการศึกษา ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในระยะยาว เพราะเมื่อคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้มากขึ้น มีการศึกษาที่ดีขึ้น นำไปสู่การสร้างโอกาส สร้างรายได้ที่ดีขึ้น และเมื่อประเทศมีแรงงานที่มีศักยภาพและทักษะที่ดี จูงใจการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โอกาสนี้อยากเชิญชวนให้คนที่มีศักยภาพในการบริจาค ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลหันมาบริจาคเงินให้ กับ กสศ. เพราะนอกจากจะได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีแล้ว ยังมีส่วนร่วมยกระดับเศรษฐกิจประเทศไทยไปด้วยกันอีกด้วย” ดร.เอกนิติกล่าว
เงินบริจาคสู่กลุ่มเป้าหมายวิกฤต 100%
ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีภาษีแรกที่ กสศ. เริ่มดำเนินงาน มีประชาชนและหน่วยงานภาคเอกชนมากกว่า 15,000 คน 200 องค์กร บริจาคเงินผ่าน กสศ. รวมทั้งสิ้นราว 74 ล้านบาท โดยมีเด็กเยาวชนผู้ยากจนและด้อยโอกาสในภาวะวิกฤตทางการศึกษาราว 70,000 คน ทั้งนี้จากยอดรับบริจาคดังกล่าว ได้ถูกนำไปสนับสนุนและช่วยเหลือเด็กและเยาวชนกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมสำคัญดังนี้
- โครงการสู้วิกฤตให้น้องอิ่ม คนละมื้อเพื่อน้อง ช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษที่ขาดแคลนอาหารในวิกฤตโควิด-19 จำนวนกว่า 42,000 คน ใน 7,728 โรงเรียน ครอบคลุม 77 จังหวัด รวม 604,980 มื้อ
- โครงการศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 เชื่อมโยงฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในทุกมิติ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เป็นระบบเดียว สามารถเข้าถึงเด็กกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า 22,000 กรณี ให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุดในทุกมิติ ทั้งด้าน สุขภาพกาย-ใจ สังคม การศึกษา จนสามารถยกระดับเป็นโมเดลการดูแลช่วยเหลือเด็กในสถานการณ์วิกฤต ขยายผลระดับประเทศ และระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนมาเป็นอาสาสมัครจำนวน 300 คน
- โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเด็กเยาวชนในภาวะวิกฤตทางการศึกษา โดยเฉพาะช่วงชั้นรอยต่อที่กำลังจะหลุดจากระบบการศึกษาเพราะความยากจนเฉียบพลัน และต้องได้รับการช่วยเหลือทันที รวมถึงเด็กกำพร้าจากสถานการณ์โควิด-19 จำนวนทั้งหมดอย่างน้อย 9,000 คน ผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งด้านทุนการศึกษาและอุปกรณ์ที่ขาดแคลน
- โครงการมื้อเช้าเพื่อน้องอิ่มท้อง สนับสนุนการพัฒนาระบบอาหารเช้าสำหรับนักเรียนยากจนในพื้นที่ห่างไกลในสถานการณ์โควิด-19 พื้นที่ 4 จังหวัด 4 ภูมิภาค ทั้งหมด 23 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนยากจนและนักเรียนยากจนพิเศษมากกว่า 80% ขึ้น มีนักเรียนได้รับอาหารเช้าตลอดปีการศึกษา 2564 จำนวน 2,026 คน รวมกว่า 400,000 มื้อ ตลอด 200 วันเรียน
เครื่องมือสำคัญในการระดมความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชนของ กสศ.คือการใช้ผลงานวิจัยและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ ระบบ iSEE ค้นหา กลุ่มเป้าหมายเด็กเยาวชนและสถานศึกษาที่ต้องการการสนับสนุนทรัพยากรเพิ่มเติมจากงบประมาณของรัฐที่อาจไม่เพียงพอ เนื่องจากการถูกปรับลดงบประมาณในแต่ละปี และเพื่อสนับสนุนมาตรการลดผล กระทบจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ต่อกลุ่มเป้าหมายของ กสศ. ซึ่งทวีความรุนแรงมากกว่าที่งบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้
ทั้งนี้ระบบ iSEE จะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริจาคช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้ถูกคน ตรงจุดปัญหา มีระบบติดตามรายงานผลการเปลี่ยนแปลงให้แก่ผู้บริจาคอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ระบบดังกล่าวยังสามารถประมวลผลสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษในระดับประเทศ ภูมิภาค จังหวัด สถานศึกษา ไปจนถึงระดับผู้เรียน ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกจังหวัดทั่วประเทศ
สำหรับผู้ที่สนใจบริจาคสมทบเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤตทางการศึกษา จากสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะช่วงชั้นรอยต่อที่กำลังจะหลุดออกนอกระบบให้ได้กลับมาเรียน
สามารถบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (E-Donation)
ที่ https://donate.eef.or.th/
หรือโอนเงินผ่านธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี : กสศ.มาตรา 6(6) – เงินบริจาค เลขบัญชี 172-0-30021-6 พร้อมส่งหลักฐานการโอนเงินเป็นรูปภาพหรือรูปถ่าย มาที่ donation@eef.or.th