เขตการศึกษาท้องถิ่นในเมืองพิมา (Pima) ของสหรัฐฯ ประกาศจัดสรรทุนการศึกษาสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ภายใต้ชื่อโครงการ Pima Early Education Program หรือ PEEPs โดยเน้นให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่ยากจน ช่วยแบ่งเบาภาระให้ครอบครัวสามารถส่งบุตรหลานอายุน้อยเข้าเรียนในโรงเรียนคุณภาพสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนได้
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่กำลังมองหาความช่วยเหลือด้านการใช้จ่ายเพื่อดูแลเด็กเล็ก (Childcare) ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตเมืองพิมา สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เพื่อยื่นสมัครขอรับโครงการทุนการศึกษาโครงการใหม่ของเมือง อย่าง Pima Early Education Program scholarships หรือชื่อย่อว่า PEEPs ได้แล้ว โดยโครงการดังกล่าวได้รับการออกแบบเพื่อให้ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงโรงเรียนอนุบาลคุณภาพสูงในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ เมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2021 ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการที่ปรึกษาเมืองพิมาได้อนุมัติงบประมาณจัดตั้งโครงการทุนการศึกษาดังกล่าว โดยปันงบส่วนหนึ่งที่ได้รับการแผนช่วยเหลือชาวอเมริกันของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน อย่าง American Rescue Plan Act อีกทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนอีกส่วนหนึ่งจากโรงเรียนในเขตการศึกษาอื่นที่อยู่ภายในเขตรับผิดชอบพิมา ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในทูซอน (Tucson) มารานา (Marana) และโอโรวัลเลย์ (Oro Valley) ฯลฯ
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นประเมินว่า โครงการทุนการศึกษาสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะให้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนโดยปราศจากเงื่อนไข แก่ครอบครัวที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกตลอดหลักสูตร 3 ปี คาดว่าจะใช้เงินตั้งต้นอยู่ที่ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับเงื่อนไขของผู้สมัครรับทุนโครงการ PEEPs เพื่อส่งเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลคุณภาพสูง (high-quality preschools) ต้องเป็นครอบครัวยากจนที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่าเส้นแบ่งระดับความยากจนของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือเทียบเท่าครอบครัวสมาชิก 4 คนมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 53,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,590,000 บาท) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นระดับที่สูงกว่ารายได้โดยเฉลี่ยของครัวเรือนทั่วไปในพื้นที่อยู่แล้ว โดยข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรของรัฐบาลสหรัฐฯ ในปี 2019 พบว่า รายได้โดยเฉลี่ยของครัวเรือนในพื้นที่อยู่ที่ 43,425 เหรียญสหรัฐเท่านั้น (ราว 1,433,025 บาท)
ในส่วนของโรงเรียนอนุบาลคุณภาพสูง หรือ High-quality preschools นี้จะเป็นโรงเรียนที่ได้รับการจัดอันดับจาก First Things First สำนักงานด้านการศึกษาในสังกัดของรัฐ ให้อยู่ในบัญชีโครงการโรงเรียนคุณภาพ Quality First โดยสำนักงานแห่งนี้มีหน้าที่หลักในการที่มุ่งจัดสรรทุนการศึกษาสำหรับเด็กในพื้นที่ยากจนโดยใช้เงินจากภาษีบุหรี่ของรัฐบาลรัฐแอริโซนา
ทั้งนี้ โครงการ Quality First จะจัดอันดับโรงเรียนอนุบาลหรือสถานศึกษาสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนด้วยการติดดาว โรงเรียนที่ได้รับการติดดาวที่ 3-5 ดวง จะถือเป็นโรงเรียนคุณภาพสูง และการจัดอันดับจะดำเนินไปภายใต้การประเมินปัจจัยเงื่อนไขคุณภาพการศึกษาของเด็กก่อนวัยเรียนตามที่กำหนดไว้ในการศึกษาวิจัย เช่น แนวทางปฏิบัติด้านสุขภาพและความปลอดภัย, ทักษะความรู้ความสามารถของครูผู้สอน, สภาพแวดล้อมในการเรียน (วัสดุอุปกรณ์ และกิจกรรม), โอกาสสำหรับกิจกรรมที่ได้เล่นขยับร่างกาย และฝึกใช้มือในการสำรวจ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน และการมีส่วนร่วมในการพูดคุยของเด็กๆ โดยตัวโครงการจะมีการทบทวนตรวจสอบคุณภาพทุกๆ 1-2 ปี
รายงานระบุว่า โรงเรียนที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในคุณภาพสูงมักจะมีค่าเล่าเรียนที่สูงตามไปด้วย เนื่องจากโรงเรียนต้องจ้างครูผู้ทรงคุณวุฒิให้มาทำหน้าที่ โดยในส่วนของโรงเรียนอนุบาลจำเป็นจะต้องจ้างครูหลายคน เพราะต้องจำกัดจำนวนเด็กต่อห้องไม่ให้เยอะเกินไป ซึ่งค่าเล่าเรียนที่สูงทำให้ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงคุณภาพทางการศึกษาในส่วนนี้ได้ แม้ว่าทางกรมความมั่นคงทางเศรษฐกิจแห่งรัฐแอริโซนาจะมีการจัดสรรทุนการศึกษาให้กับครอบครัวผู้มีรายได้น้อยไว้แล้วก็ตาม
นิโคล สกอตต์ (Nicole Scott) ผู้จัดการโครงการ PEEPs กล่าวว่า แต่เดิม ตัวเลขเปอร์เซ็นต์สิทธิ์ในการได้รับผลประโยชน์เพื่อร่วมดูแลเด็กของกรมความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัฐแอริโซนาอยู่ที่ 165 เปอร์เซ็นต์ของเส้นความยากจนของรัฐบาลกลาง แต่ทางโครงการพิจารณาแล้วปรับขยายให้สิทธิ์ได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 200 เปอร์เซ็นต์ในเมืองพิมา เพื่อให้ครอบคลุมครอบครัวผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับโรงเรียนอนุบาลหรือสถานรับดูแลเด็กสำหรับครอบครัวส่วนใหญ่อาจสูงกว่าค่าเทอมของโรงเรียนหรือวิทยาลัยของรัฐโดยทั่วไป ซึ่งข้อมูลจากสถาบันนโยบายเศรษฐกิจพบว่า ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาลโดยเฉลี่ยในรัฐแอริโซนาอยู่ที่ประมาณ 10,948 เหรียญสหรัฐ (ราว 361,284 บาท) ถือเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักสำหรับครอบครัวทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นการเรียนโรงเรียนอนุบาลของเด็กในครอบครัวยากจนจึงยิ่งเป็นเรื่องที่เกินเอื้อมถึง
สกอตต์กล่าวว่าสำหรับตนเองกว่าจะให้ลูกชายคนสุดท้องได้เข้าเรียนก็มีอายุเกินเกณฑ์เล็กน้อย เพราะต้องทำงานเก็บเงินมาจ่ายค่าดูแลให้สถานรับเลี้ยงเด็กก่อน โดยสกอตต์มีลูกทั้งหมด 4 คน จึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าสถานเลี้ยงดูเด็กให้กับลูกทั้งหมดด้วยเงินเดือนจากการเป็นนักการศึกษาของตนเองได้ และสิ่งที่ได้เห็นก็คือความแตกต่างของพัฒนาการของลูกๆ เมื่อเทียบกับเด็กบ้านอื่นที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน
แม้ว่ารายละเอียดข้อมูลและเงื่อนไขของโครงการ PEEPs จะมีระบุอย่างครบถ้วนในเว็บไซต์ แต่สกอตต์ก็แนะนำให้พ่อแม่หาเวลาแวะเข้าเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการดูแลเด็ก อย่าง Childcare Resource and Referral ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกรมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งภายในบรรจุฐานข้อมูลของผู้ให้การสนับสนุนโครงการการศึกษาสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนไว้มากมาย
“เราแนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครองติดต่อผ่านกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้โดยตรง เพราะพวกเขาจะช่วยให้พ่อแม่เข้าถึงโรงเรียนในพื้นที่และตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ได้อย่างใกล้ชิดและตรงจุดมากกว่า” สกอตต์กล่าว
ทั้งนี้ โครงการ PEEPs เป็นโครงการที่พัฒนาต่อยอดมาจากโครงการ Strong Start ที่รัฐบาลท้องถิ่นพยายามผลักดันเพื่อให้เด็กก่อนวัยเรียนได้เรียนฟรีโดยใช้เงินสนับสนุนจากภาษีการขายและภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากการโหวตในสภาท้องถิ่น ก่อนที่ทางคณะทำงานจะร่างแผนนโยบายขึ้นใหม่ให้รัดกุมมากขึ้น ซึ่งหมายรวมถึงการเจาะจงพื้นที่เป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือ จนได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจากทุกฝ่ายในที่สุด
เร็กซ์ สกอตต์ (Rex Scott) อดีตเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาของโรงเรียนหลายแห่งในพื้นที่ อีกทั้งภรรยายังเป็นครูสอนอนุบาลกล่าวว่า อุปสรรคใหญ่ที่สุดที่ขวางไม่ให้เด็กได้เรียนอนุบาลก็คือรายได้ของครอบครัว แม้จะมีการศึกษาวิจัยมากมายยืนยันว่า การเรียนในระดับอนุบาลมีความสำคัญอย่างมากต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเด็กเองในช่วงชีวิตที่เหลือ
“เด็กวัย 3-4 ขวบนั้น ไม่เพียงอยู่ในช่วงวัยที่สมองกำลังพัฒนาเท่านั้น แต่เป็นช่วงวัยที่พวกเราต้องคำนึงถึงการบ่มเพาะทักษะต่างๆ อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นทักษะการอ่าน การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน การพูดคุยโต้ตอบกับเพื่อนๆ และการเตรียมความพร้อมเพื่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป” เร็กซ์ สกอตต์ กล่าว
นอกจากนี้ เร็กซ์ สกอตต์ ยังได้อ้างอิงถึงงานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาระดับปฐมวัยที่ตีพิมพ์ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งจัดทำโดย ศาสตราจารย์เจมส์ เฮคแมน (James Heckman) เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ที่ทำงานงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของการศึกษาปฐมวัยคุณภาพสูง
โดยการวิจัยของเฮคแมนพบว่า การศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพสูงจะช่วยส่งเสริมทักษะทางสังคมและทักษะการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันก็ลดอัตราการเกิดอาชญากรรมและเพิ่มรายได้ในภายหลัง และแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในการศึกษาปฐมวัยมีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในช่วงชีวิตในอนาคต
ที่มา : Pima County now offering scholarships for early childhood education