รัฐบาลสิงคโปร์เปิดเผยแผนงบประมาณประจำปี 2565 ระบุยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างหนักในการสร้างระบบนิเวศ และให้การสนับสนุนในทุกทางสำหรับการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กคนหนึ่ง ตั้งเป้าให้เด็กสิงคโปร์ทุกได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิตที่มีคุณภาพและศักยภาพของเด็กสิงคโปร์
เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ แชนแนลนิวส์ เอเชียของสิงปคโปร์ รายงานอ้างอิงคำกล่าวของ ลอว์เรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีคลังสิงคโปร์ ซึ่งให้คำมั่นว่า สิงคโปร์จะยังคง “ลงทุนอย่างหนักหน่วง” กับเด็กๆ เพื่อให้เด็กๆ เหล่านี้ได้รับโอกาสที่จะ “เริ่มต้นชีวิตได้ดีที่สุด” ในฐานะพลเรือนของสิงคโปร์ และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน
รัฐมนตรีคลังสิงคโปร์ย้ำชัดว่า ในขณะที่รัฐบาลยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มเปราะบาง รัฐบาลก็จะยังคงเดินหน้าเพิ่มความคล่องตัวทางสังคมต่อไป
“รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจว่าชาวสิงคโปร์ทุกคนมีโอกาสที่จะทำดีเพื่อตนเอง ไม่ว่าภูมิหลังหรือจุดเริ่มต้นของพวกเขาจะเป็นอย่างไร” ลอว์เรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีคลังสิงคโปร์กล่าว ก่อนเสริมว่า การสนับสนุนจากภาครัฐจะเริ่มต้นตั้งแต่เด็กเล็กก่อนวัยเรียน โดยเฉพาะเด็กจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อย หรือครอบครัวยากจน
การเดินหน้าส่งเสริมสนับสนุนครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสิงคโปร์ตระหนักว่า เด็กบางคน โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มเปราะบาง ไม่อาจหนีพ้นความล้มเหลวหรือความล้าหลังในระบบการศึกษาเนื่องจากสภาพภูมิหลังของบ้านที่ยากลำบาก ดังนั้น การเข้าไปแทรกแซงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือตั้งแต่ช่วงปฐมวัยจะสามารถสร้างความแตกต่างอย่างในชีวิตของเด็กคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ภายใต้งบประมาณสนับสนุนประจำปี ส่วนหนึ่งจะส่งเข้าโครงการ KidSTART ซึ่งใช้เครือข่ายพันธมิตรในชุมชนเข้าไปให้การสนับสนุนครอบครัวที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ต้องได้รับความช่วยเหลือ และมีเด็กเล็กอยู่ในครอบครัวเป็นหลัก โดยคาดกว่า จำนวนเด็กที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงกรรจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5,000 คน ภายในปี 2023 นี้ ก่อนเดินหน้าขยายขนาดของโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อให้รัฐบาลสามารถให้การสนับสนุนครอบครัวยากจนเพิ่มมากขึ้นได้
ขณะเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ทางสำนักงานพัฒนาเด็กปฐมวัย หรือ Early Childhood Development Agency (ECDA) เพิ่งออกมาประกาศว่าเด็กๆ จากโครงการ KidSTART จะได้รับเงินช่วยเหลือต่อปีสูงถึง 100 เหรียญสิงคโปร์ (ราว 2,406 บาท) จนกว่าเด็ก ๆ จะมีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์
นอกจากนี้ ทางรัฐบาลจะฝากเงินเข้าบัญชีให้กับเด็กเพิ่มเติม เพื่อเป็นทุนตั้งต้นทางการศึกษา เมื่อเด็กคนนั้นลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนอนุบาล โดยการฝากเงินเพิ่มเติมจะเพิ่มจาก 100 เป็น 200 เหรียญสิงคโปร์ หากว่าเด็กลงทะเบียนเรียนในระหว่างอายุ 3-4 ปี
ถัดจากโครงการ KidSTART ทางรัฐบาลสิงคโปร์ยังได้จัดทำโครงการ UPLIFT Community Pilot เพื่อส่งเสริมต่อยอดจากโครงการแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การสนับสนุนเด็กด้อยโอกาสหรือจากครอบครัวยากจนได้มีโอกาสไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนจนสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรภาคบังคับต่อไป
รายงานระบุว่า โครงการเสริมนี้ หมายรวมถึงการเชื่อมโยงเด็กกับหน่วยงานบริการสังคมและเพื่อนบ้านที่คอยตรวจสอบกับเด็กได้อย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนการให้คำแนะนำและคำปรึกษาอย่างใกล้ชิด
สำหรับ โครงการ UPLIFT หรือที่มีชื่อเต็มว่า Uplifting Pupils in Life and Inspiring Families Taskforce (คณะทำงานยกระดับคุณภาพชีวิตนักเรียนและสร้างแรงบันดาลใจให้ครอบครัว) มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและสนับสนุนเด็กนักเรียนจากครอบครัวด้อยโอกาสในด้านการแก้ปัญหาการขาดเรียนในระยะยาวและอัตราการออกกลางคันในโรงเรียน ตลอดจนปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในด้านต่างๆ
หว่อง รัฐมนตรีคลังสิงคโปร์กล่าวว่า โครงการนำร่อง UPLIFT มีผลลัพธ์ในเชิงบวก และเป็นที่น่าพอใจ โดยชี้ให้เห็นถึงอัตราการเข้าเรียนของนักเรียนส่วนใหญ่ที่อยู่ในโครงการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับแผนการต่อไป ทางรัฐบาลสิงคโปร์ตั้งเป้าที่จะขยายโครงการนำร่อง UPLIFT ให้ครอบคลุมทั่วประเทศผ่านทางเครือข่ายชุมชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนสิงคโปร์มากยิ่งขึ้น โดยในปี 2565 นี้ จะขยายให้ครอบครัวพื้นที่ใน 8 เมือง ก่อนที่จะเดินหน้าเพิ่มพื้นที่อีกหลายๆ เมืองในปีต่อๆ ไป
รัฐมนตรีคลังหว่องกล่าวอีกว่า อีกหนึ่งการแทรกแซงจากภาครัฐที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการให้เด็กเหล่านี้มีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เอื้ออำนวยมากขึ้นที่จะเติบโตขึ้นมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการสนับสนุนให้พ่อแม่มีบ้านเป็นของตนเอง
ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ครอบครัวของเด็กสามารถทำงานเพื่อเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ดียิ่งขึ้น ทางรัฐบาลสิงคโปร์ได้เดินหน้าพัฒนาปรับปรุงโครงการ Fresh Start Housing Scheme
สำหรับ โครงการ Fresh Start Housing Scheme จะมุ่งช่วยให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยครั้งในสิงคโปร์สามารถซื้อบ้านของตนเองเป็นครั้งที่สองได้ หลังจากที่เคยได้รับเงินอุดหนุนที่อยู่อาศัยจากรัฐไปแล้วก่อนหน้านี้
ในส่วนของรายละเอียดในแต่ละโครงการ ทางกระทรวงการคลังจะหารือร่วมกับทางคณะกรรมการกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติ ต่อไป