อ.ชัชชาติ ‘ประกาศผลักดันพื้นที่เรียนรู้เพื่อเด็กทั่ว กทม.’ จับมือ กสศ. สสส. ผนึกพลังชุมชน – ภาคประชาสังคม จัดเทศกาลบางกอกกำลังดี…ที่ฝั่งธน สนับสนุนให้เกิดพื้นที่เรียนรู้กระจายทุกชุมชน ผู้จัดการ กสศ. ระบุ ‘พื้นที่เรียนรู้’ ช่วยปลดล็อกทักษะอารมณ์สังคมและฟื้นฟูความรู้ถดถอย พร้อมเดินหน้าสนับสนุน กทม. สร้างเมืองแห่งการเรียนรู้
เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2565 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในงานบางกอกกำลังดี …ที่ฝั่งธน ณ สวนบางขุนนนท์ ถึงการผลักดันนโยบายการศึกษาว่ามีสองคำที่สำคัญคือ ‘พื้นที่’ และ ‘เรียนรู้’ เนื่องจากมองว่านับจากนี้ถึงอนาคตคำว่า ‘การศึกษา’ จะไม่สำคัญเท่ากับ ‘การเรียนรู้’ โดยอธิบายว่าการศึกษาจะเป็นเพียงหลักสูตรที่คนกลุ่มหนึ่งกำหนดไว้ ขณะที่โลกในอนาคตทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ดังนั้นเด็กจำเป็นต้องมีทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีพื้นที่เรียนรู้สาธารณะเพิ่มขึ้น แต่ที่ผ่านมาพบว่า กทม. ยังไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับเด็ก
“ในเรื่องการเรียนรู้ กทม. ไม่ได้เก่งเท่าเครือข่ายที่ทำงานด้านนี้โดยตรง แต่เรามีหน้าที่ผลักดันให้พื้นที่ของประชาชนเปิดกว้าง รวมถึงต้องสอดคล้องกับความต้องการ ซึ่ง กทม. มีพื้นที่เยอะแยะ ทำได้ทุกเขต เรามีสวนสาธารณะ มีตึกที่มีพื้นที่เหลือใช้งาน หนึ่งในนั้นคือเราสามารถเปลี่ยนโรงเรียนเป็นศูนย์เรียนรู้ได้ในวันเสาร์อาทิตย์ ทั้งนี้ต้องไม่เป็นภาระของครู แต่เราให้คนในชุมชนมาใช้ ดูแลกันแบบพี่สอนน้อง มีอาสาสมัครมาช่วยดูแล กทม. ยืนยันว่าเรื่องนี้สำคัญและจะเต็มที่ทุกอย่าง เพราะสิ่งที่ทำวันนี้คือการเตรียมพร้อมให้กับเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เขาจะเป็นเจ้าของเมืองเมืองนี้ต่อไปในอนาคต”
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระบุว่า นโยบายผลักดันพื้นที่เรียนรู้ ต้องใช้ความร่วมมือของ 4 เกลียวการทำงาน คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และกำลังหลักคือชุมชน เพื่อให้ได้ผลงานที่ตอบโจทย์จริง เพราะเมืองจะดีขึ้นไม่ได้ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน
“หนึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้เห็นว่า กทม. มีพลัง เราได้ต้นไม้ 1 ล้าน 3 แสนต้น ภายในเดือนเดียวโดยไม่ต้องใช้เงินสักบาท แค่ทุกคนมาร่วมมือกัน นี่เป็นแค่มิติแรก ๆ เท่านั้น ผมว่าเรามีทั้งส่วนที่เหมือนและแตกต่างกันทางมุมมอง ถ้าเราเอาส่วนที่เหมือนเป็นหลักคืออยากให้เยาวชนมีอนาคตที่ดี มีพื้นที่เรียนรู้คุณภาพ แล้วค่อยแก้ส่วนที่แตกต่างกัน ผมเชื่อว่าเราจะได้กรุงเทพ ฯ ที่ดีกว่าครับ”
ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า กสศ. ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ กทม. เพื่อสร้างพื้นที่ส่งเสริมให้กรุงเทพ ฯ เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ตามแนวทางขององค์การยูเนสโก ทั้งนี้พื้นที่เรียนรู้ที่มีความสุขไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ แต่สำคัญคือต้องการความมีส่วนร่วมของคนทุกคนและหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งในการออกแบบกิจกรรม และทำให้เป็นพื้นที่ที่เด็กเยาวชนจากชุมชนต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วม
“การผลักดันให้ กทม. เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้นั้น สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเมืองในระดับนานาชาติ ที่ให้บทบาทท้องถิ่นมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ขณะนี้มีเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ 229 แห่งทั่วโลก ที่สามารถจัดการทรัพยากรในทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนให้เกิดการการเรียนรู้สำหรับประชาชนทุกคนและทุกระดับ มีการเรียนรู้ที่เสมอภาค และทั่วถึง รวมถึงส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิต”
ดร.ไกรยส กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ประเทศไทยต้องปิดโรงเรียนเป็นเวลานาน ผลกระทบที่ตามมาคือเด็กมีความเครียด เกิดภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ หรือ Learning Loss ซึ่งการจะแก้ไขปัญหาบนความยั่งยืนไม่ใช่การอัดเนื้อหาทางวิชาการ แต่ต้องปลดล็อกทักษะด้านอารมณ์สังคมของเด็กด้วยพื้นที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์เพื่อกระตุ้นให้เด็กเยาวชนมีภูมิคุ้มกันในการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิต มีมุมมองแง่บวก กระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นถ้ามีพื้นที่เรียนรู้ที่ดึงเด็กให้ออกจากบ้าน ก้าวข้ามความเครียด กังวล ความกลัว ความไม่มั่นใจต่าง ๆ แล้วออกมาแสดงความสามารถในสิ่งที่เขาทำได้ดี เด็กจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยแล้วกลับไปสู่การเรียนรู้ได้ ซึ่ง กสศ. จะเข้ามาร่วมทำงานกับ กทม. และทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน ประชาชน ในการดึงการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนไปด้วยกัน
สอดคล้องกับ นางสาวณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การสร้างพื้นที่เรียนรู้ คือสิ่งที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงในการทำให้เด็กก้าวทันโลกปัจจุบัน กทม. มีพื้นที่ที่ทำได้มากมาย เช่น สถานที่ราชการมีสนามหญ้า หรือสวนสาธารณะต่าง ๆ สำคัญคือต้องมีกิจกรรมสร้างสรรค์ ทำเป็นประจำต่อเนื่อง มีความหลากหลาย และเข้าถึงวิถีชีวิต เพราะเคล็ดลับของพื้นที่เรียนรู้คือเด็กเยาวชนต้องได้คิดเองว่าต้องการอะไร แล้วผู้ใหญ่คอยช่วยจัดหาสิ่งจำเป็นมาให้เขาได้ลงมือทำ ได้เรียนรู้สนุกสนาน จากนั้นให้เขาสรุปและถอดบทเรียนจากสิ่งที่ทำ พื้นที่แบบนี้ต้องทำให้มีทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน เพื่อให้เด็กไม่ต้องเดินทาง แค่ไม่กี่ก้าวจากบ้านเขาต้องไปถึง จึงอยากชักชวน กทม. มาช่วยกันร่วมมือคิดหาทางทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้กระจายไปยังพื้นที่เรียนรู้ให้กว้างขวาง ดึงเด็กมาทำกิจกรรมที่จะทำให้เขามีทักษะชีวิต ห่างไกลอบายมุข อยู่รอดปลอดภัยได้ในโลกยุคใหม่
ขณะที่ นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ จากโครงการ ‘บางกอกนี้ดีจัง’ กล่าวเสริมว่า การเกิดขึ้นของพื้นที่เรียนรู้แห่งหนึ่ง จะเป็นต้นแบบความสำเร็จที่ขยายไปสู่ชุมชนอื่น ๆ และดึงการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายเข้ามาผลักดันช่วยกันได้มากขึ้น ที่ผ่านมาเครือข่ายบางกอกนี้ดีจังได้ทำงานร่วมกับผู้นำชุมชนในพื้นที่ฝั่งธน ฝั่งพระนคร และเขตอื่น ๆ เรามีคนในชุมชนที่เป็นผู้นำธรรมชาติ มีแกนนำเด็กเยาวชน มีพี่เลี้ยง มีกลุ่มและเครือข่ายเด็กเยาวชนที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ แข็งแรงในด้านภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ซึ่งมีอิทธิพลช่วยสื่อสารให้คนในชุมชนลุกขึ้นมาปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น
“นอกจากความร่วมมือของชุมชน เราได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิและหน่วยงานต่าง ๆ เพราะปัญหาบางอย่างแก้ด้วยคนในชุมชนไม่พอ ต้องมีการนำองค์ความรู้บางอย่างเข้ามาช่วย โดยตั้งอยู่บนฐานของการส่งเสริมศักยภาพเยาวชน พยายามเพิ่มมิติของแหล่งเรียนรู้ ถ้าหากชุมชนสามารถดึงคุณค่าภายในออกมาได้ ทุกอย่างจะหมุนไปได้โดยวิถีธรรมชาติ ชุมชนเรามีองค์กรเข้ามามีส่วนร่วมค่อนข้างเยอะ เราต้องตั้งรับด้วยการทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้แนวคิดฝังอยู่กับชุมชน และองค์กรที่เข้ามาต้องรู้จักชุมชนเราพอสมควรถึงจะทำงานร่วมกันได้”
ทั้งนี้ การผลักดันพื้นที่เรียนรู้เพื่อเด็กและเยาวชนทั่ว กทม. จะนำร่องจัดกิจกรรมทุกวันอาทิตย์ ใน 12 เขต ผ่านโครงการพื้นที่สาธารณะพื้นที่เรียนรู้ที่มีชีวิต ประกอบด้วยกิจกรรมศิลปะ ดนตรี ตลาด เวิร์กช็อป การละเล่นสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เยาวชน และคนทุกเพศทุกวัย เริ่มวันอาทิตย์ที่ 17 ก.ค. 2565 จัดที่สวนบางกอกใหญ่ ตั้งแต่เวลา 15.00 – 20.00 น. สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวได้ที่ เพจ บางกอก กำลังดี