ศ.นพ.วิจารณ์ ชวน ผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และ 5 องค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมกันหากลไกขับเคลื่อน ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ ให้เดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่คุณภาพของเด็กและเยาวชน ด้านรอง เลขาธิการ กพฐ. ให้ความมั่นใจ แม้โครงการโรงเรียน TSQP สิ้นสุดลง สพฐ. ยังพร้อมสนับสนุนนโยบายโรงเรียนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2565 ที่โรงแรม ที.เค. พาเลซ โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพ ฯ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ 5 องค์กรภาคีเครือข่าย ได้แก่ มูลนิธิเพื่อทักษะแห่งอนาคต, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มูลนิธิลำปลายมาศพัฒนา และมูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เพื่อเด็กทุกคน : บทเรียนจากโรงเรียนพัฒนาตนเอง รุ่น 1” ภายใต้โครงการบริหารจัดการโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือ TSQP เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างหน่วยงานต้นสังกัด องค์กรเครือข่าย และโรงเรียน นำไปสู่การสร้างกลไกในการขับเคลื่อนและพัฒนาโรงเรียนที่จะส่งผลต่อนักเรียนต่อไป โดยงานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 4 กันยายน 2565 มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานกล่าวเปิดและปาฐกถาพิเศษ “โรงเรียนพัฒนาตนเอง สู่การพัฒนาเยาวชนของชาติ” ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการมาร่วมกันทำความเข้าใจว่าโรงเรียนพัฒนาตนเองควรดำเนินการอย่างไร ให้สอดคล้องกับบริบทของตนเองหลังเสร็จสิ้นโครงการ ฯ เนื่องจากที่ผ่านมา 3 ปี มีโค้ชเข้าไปช่วยหนุนเสริมโรงเรียน แต่เป้าหมายของโครงการ ฯ คือการพัฒนาเยาวชนของชาติโดยมีความเชื่อมั่นว่าโรงเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ หากได้รับการหนุนเสริมโดยไม่ใช่การบังคับบัญชา
“ด้วยความเชื่อนี้จึงได้ชวนโรงเรียนประถมศึกษาขนาดกลาง และโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาจำนวนเกือบ 800 แห่งที่ดูแลเด็กด้อยโอกาส หรือคิดเป็น 10 % ของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดกลางทั่วประเทศกว่า 8,000 แห่ง มาเข้าโครงการหนุนเสริมโดยใช้เครื่องมือ 6 Q ได้แก่ Q – Coach, Q – Goal (School Goal), Q – Info, Q – PLC, Q – Network และ Q – Classroom วางเป้าหมายให้เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนประกอบด้วย V – A – S – K คือ V – values ค่านิยม, A – attitude เจตคติ, S – skills ทักษะ, K – knowledge ความรู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากวิธีการสอนที่ดีที่สุด นั่นคือการทำให้ดู”
ศ.นพ.วิจารณ์ ชี้ว่า จุดสำคัญคือการตั้งคำถามที่ใช้ Growth Mindset ว่าจะช่วยให้โรงเรียนพัฒนายิ่งขึ้นได้อย่างไร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของโรงเรียนต้องเป็น School Transformation ในลักษณะเป็นกระบวนการที่ไม่จบสิ้น และไม่ขึ้นอยู่กับโครงการ ฯ เพราะกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้น 80 % เกิดจากกระบวนการภายในโรงเรียน ส่วนอีก 20 % มาจากการรับการหนุนเสริมจากภายนอก
โรงเรียนจึงต้องยกระดับตนเองขึ้น ส่วนจะต้องการการหนุนเสริมแบบไหนขอให้บอก เพราะตนจะทำให้คำบอกนั้นมีเสียงสะท้อนไปสู่สังคมไทยและต้นสังกัดต่อไป นอกจากนี้ เชื่อว่าโรงเรียนต้องมีกระบวนการเรียนรู้ภายในโรงเรียนคือ Experiential Learning หรือการเรียนรู้จากการปฏิบัติและประสบการณ์ หลักการสำคัญคือประสบการณ์ตรงจากการทำและสังเกต (Concrete Experience) นำไปสู่การสังเกตโดยใคร่ครวญ (Reflective Observation) ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานานหรือเกิดขึ้นหลังจากได้รับประสบการณ์หรือการสังเกตก็ได้ จากนั้นไปสู่การตั้งทฤษฎีหรือหลักการเอง (Abstract Conceptualization) แล้วนำหลักการหรือทฤษฎีใหม่ไปลองใช้ (Active Experimentation) ทั้งหมดนี้ครูควรได้ฝึกให้กับลูกศิษย์ และครูควรได้ฝึกฝนโดยฝึกให้กันและกัน
“หัวใจสำคัญของโรงเรียนพัฒนาตนเอง คือ เป็น Learning Organization เรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ เรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิด (reflective learning) สะท้อนคิดสู่หลักการ (conceptualization) แล้วนำไปทดลองว่าเกิดผลจริงหรือไม่ เป็นการย้ำว่าโรงเรียนพัฒนาตนเองต้องเป็นโรงเรียนแห่งความสงสัยซึ่งสำคัญมาก เพราะการเรียนรู้ที่เป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้สำเร็จรูป หรือสอนให้เชื่อเพียงความรู้สำเร็จรูปเป็นการปิดกั้นปัญญา ดังนั้น ต้องไม่ปิดกั้นความช่างสงสัยของเด็ก เราจะแก้ได้โดยการให้โรงเรียนพัฒนาตนเองเป็นแหล่งสร้างความรู้ใส่ตัวของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
“โรงเรียนพัฒนาตนเองต้องจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สิ่งสำคัญคือ Q – classroom ที่ไม่ใช่ห้องเรียนธรรมดา แต่ต้องเป็นห้องเรียนสมรรถนะสูง (high – functioning classroom) คือเป็นมากกว่าห้องเรียน และโรงเรียนพัฒนาตนเองทั้งระบบต้องไม่หยุดเมื่อโครงการ ฯ สิ้นสุด การเรียนรู้และพัฒนาต้องไม่มีวันจบ คำถามคือจะมีวิธีการทำอย่างไร จะหนุนเสริมกันต่อไปอย่างไร เพื่อยกระดับการเรียนรู้ของเยาวชนไทยให้ต่อเนื่องไม่มีวันสิ้นสุด
นอกจากนี้ การที่โรงเรียนพัฒนาตนเองจะทำได้จริงต้องวัดผลลัพธ์ได้เอง เพื่อให้เกิดการยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ เพื่อนำมาหมุนวงจรการพัฒนาให้ต่อเนื่อง เป็นการหมุนเพื่อวัดผลลัพธ์ V – A – S – K ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อยกระดับคุณภาพ (Q – Quality) ยกระดับเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในห้องเรียน (E – Equity) โดยคำนวณ ES – Effect Size เพราะการศึกษาเป็นเรื่องซับซ้อนจึงต้องมีการวัดผลลัพธ์และประเมินว่าวิธีจัดการเรียนรู้ (intervention) ของตนได้ผลแค่ไหน โดยคำนวณ ES – Effect Size แล้วนำมาเป็น feed forward สู่การปรับวิธีจัดการเรียนรู้” ศ.นพ.วิจารณ์ ระบุ
ศ.นพ.วิจารณ์ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การดำเนินการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ต้องทบทวนว่าเราทำตามที่ ‘หลักสูตรบอก’ หรือดำเนินการตามที่ ‘นักเรียนบอก’ ซึ่งในความเป็นจริง นักเรียนบอกตรง ๆ ไม่ได้ แต่นักเรียน ‘บอก’ อ้อม ๆ ได้ จึงอยู่ที่ครูจะมีวิธีรับ ‘สาร’ หรือสังเกตจากนักเรียนหรือไม่ เพราะเด็กสื่อสารกับเราตลอดเวลา เพียงแต่เราได้รับสารเหล่านั้นไหม และที่สำคัญเราก็ต้องตั้งคำถามว่าโรงเรียนพัฒนาตนเองได้ทำให้คิดไม่เป็น ทำให้ไม่มีปัญญาอยู่บ้างหรือไม่ หากมีเราทำอย่างไรเพื่อแก้ไขปรับปรุง อีกประเด็นที่สำคัญหากในอนาคตเมื่อไม่มีโครงการ TSQP แล้ว ต้นสังกัดก็ควรมีปฏิสัมพันธ์กับโรงเรียนที่เคยอยู่ในโครงการต่อไป
ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ในการดำเนินโครงการ TSQP ซึ่งมีโรงเรียนสังกัด สพฐ. เข้าร่วมมากว่า 3 ปี ได้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดเป็นผลสำเร็จกับนักเรียนชัดเจน ได้เห็นความพยายามของผู้บริหารโรงเรียน และครู โดยเฉพาะภาคีเครือข่ายที่นำรูปแบบนวัตกรรมและตัวอย่างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมาช่วยพัฒนาโรงเรียนให้เกิดระบบการทำงานที่ดีในโรงเรียน
“สพฐ. ได้ให้นโยบายกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และทุกสำนักในส่วนกลางที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาโรงเรียน ได้เข้ามามีส่วนร่วมรับรู้ ให้ความร่วมมือและสนับสนุนโรงเรียนในโครงการ ฯ เพื่อให้การพัฒนาเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมชัดเจน จึงขอให้โรงเรียนในสังกัดของ สพฐ. ที่เข้าร่วมโครงการ ฯ มั่นใจว่า สพฐ. พร้อมให้การสนับสนุนโรงเรียนทุกแห่ง ให้เดินหน้าอย่างเต็มที่ที่จะพัฒนาและนำนวัตกรรม ประสบการณ์จากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ไปขยายผลกับโรงเรียนเครือข่าย หรือพื้นที่อื่น ๆ”
ทั้งนี้ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ ย้ำว่า สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญต่อไป คือการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ทั้งครูและผู้บริหารต้องเรียนรู้การทำงานในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง โดยมุ่งให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา และไม่ยึดติดกับวิธีการแบบเดิม ๆ เพราะการจัดการศึกษาที่ดีไม่มีวิธีการใดที่ถูกต้องหรือดีที่สุด แต่ต้องปรับวิธีการให้สอดรับ เหมาะสมกับบริบท และสามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลา
“เรื่องสำคัญเร่งด่วนขณะนี้คือ การที่เด็กสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้เพราะโควิด จึงหวังว่าทุกโรงเรียนจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กทุกคน ลดการเรียนรู้ที่ถดถอย การเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา ให้การช่วยเหลือและพัฒนาเด็กรายบุคคล และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่จะช่วยผู้เรียนทุกคนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เชื่อมั่นว่า ทุกคนทำได้ และอยากให้ทุกท่านทำอย่างมั่นใจ เพราะ สพฐ. และ กสศ. พร้อมให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องต่อไป” ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าว
ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษาไทยที่เกิดการระบาดของโควิด – 19 ที่ผ่านมา มีโจทย์ทางการศึกษาหลายอย่างที่เป็นความท้าทายกับโรงเรียน ครู และนักเรียน แต่สิ่งที่เชื่อมั่นเสมอคือ การที่ กสศ. ได้รับความร่วมมือจาก สพฐ. เข้าเป็นภาคีและแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกัน ทำให้เชื่อมั่นว่าโรงเรียนสามารถพัฒนาได้ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีอยู่ในทุกโรงเรียน และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนจะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับที่อื่นได้ด้วยเช่นกัน ทำให้เราพัฒนาโครงการ TSQP ขึ้นมา โดยความตั้งใจจริงของ กสศ. และ สพฐ. ที่พร้อมสนับสนุนให้สิ่งดี ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น สำหรับความคิดเห็นและข้อเสนอต่าง ๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนกันในช่วง 2 วันนี้ ทีมงานจะกลั่นกรองและจัดทำเป็นเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายให้แก่หน่วยงานภาครัฐ ข้อเสนอต่อประชาชนและสังคมไทย ตลอดจนสื่อมวลชนต่อไป เพื่อให้การศึกษาไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ภายใต้การกลับมาสู่การเปิดเรียนปกติได้ เป็นปีการศึกษาแรกในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้
“ประสบการณ์ นวัตกรรมการทำงาน และผลงานที่ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ศึกษานิเทศก์ ช่วยสนับสนุนให้เกิดขึ้นนี้ จะถูกบันทึกและนำไปถอดรหัส เพื่อส่งต่อการทำงานไปยังพื้นที่อื่น ๆ และการทำงานเชิงนโยบายได้ต่อไปในอนาคต และหากโรงเรียน ผู้บริหารสถานศึกษามีแนวคิดหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติมที่จะช่วยสนับสนุนให้โรงเรียนเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การพัฒนาคุณภาพตัวเองอย่างต่อเนื่องได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอเชิงกลไก ปัจจัยนำเข้าจากทางภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน ภาคประชาสังคม หรือสื่อมวลชน สามารถจะสนับสนุนแนวความคิดเหล่านี้ผ่านทางเครือข่ายได้เสมอ เพราะเราเชื่อมั่นว่าแนวความคิดที่ได้จากการปฏิบัติงานเหล่านี้ คือแนวคิดที่จะนำสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำเร็จและยั่งยืนได้ในอนาคต” ดร.ไกรยส กล่าว