5 บทเรียนชีวิตจาก ‘น้าเน็ก’ ถึงน้อง ๆ “จังหวะก้าวของชีวิต บททดสอบมักมาก่อน แล้วบทเรียนจะตามมาทีหลัง”

5 บทเรียนชีวิตจาก ‘น้าเน็ก’ ถึงน้อง ๆ “จังหวะก้าวของชีวิต บททดสอบมักมาก่อน แล้วบทเรียนจะตามมาทีหลัง”

‘น้าเน็ก’ เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พบนักเรียนทุน ‘ก้าวเพื่อน้อง’ รุ่นที่ 1-3 ในงาน ‘ดู-เรียน เรียนรู้ดูทำ’ ที่มูลนิธิก้าวคนละก้าว จัดขึ้นร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อแนะแนวเส้นทางการศึกษาให้กับน้อง ๆ

งานนี้นอกจากตั้งใจมาเห็นหน้าค่าตากัน น้าเน็กยังขน ‘NANAKE เก๊กฮวย’ มาแจกให้กับเด็ก ๆ พร้อมเปิดเวที ‘อย่าหาว่าน้าสอน’ ตอนพิเศษ ชวนน้อง ๆ แลกเปลี่ยนกันแบบ ‘โนสคริปต์’ ด้วยกติกาง่าย ๆ คือ “ใครอยากถามอะไร …ถามเลย” แล้วน้าเน็กจะรับฟัง กลั่นมุมมอง กรองประสบการณ์ ก่อนลองหาทางช่วยไขทุกปัญหาที่คอยเหนี่ยวรั้งให้ติดขัด จนจังหวะชีวิตที่จะก้าวต่อไปทำได้ไม่ค่อยคล่อง 

…แน่นอนว่าทุกอุปสรรคในชีวิต ไม่อาจแก้ไขได้ทั้งหมดในเวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง แต่น้าเน็กก็รับปากกับเด็ก ๆ อย่างมั่นเหมาะ ว่าจะพยายามเต็มที่ ใช้เวลาสั้น ๆ ของการพบกันให้คุ้มค่า เพื่อถ่ายทอดบทเรียนชีวิต และหวังว่าจะมีคำตอบดี ๆ ให้กับทุก ๆ คนได้

บทที่ 1: ‘ความเชื่อมั่น’
“โลกไม่เคยเปลี่ยน แต่วิธีมองจะช่วยกำหนดสุขทุกข์ของเรา”

“ไม่แปลกที่เรามักเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่น้อง ๆ จำไว้ให้ดีว่า โลกจะเป็นเหมือนเดิมเสมอ ลมจะโบกพัด ต้นไม้จะเติบโต ใบไม้จะแห้งเหี่ยว ฝนจะตกลงมา ทุกอย่างเหมือนเดิมเสมอตั้งแต่ก่อนเราเกิด จนมีชีวิต ตายไป แต่ตลอดช่วงชีวิตสั้น ๆ ของทุกคน โลกไม่เคยเปลี่ยน ดังนั้นสิ่งดีร้ายบนโลกนี้จะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นกับมุมมองของเรา

“เมื่อบางอย่างสูญหายไป บางครั้งมันก็บอกเราว่า ไม่มีมันเราก็ยังอยู่ได้ ทรัพย์สินนอกกายไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ในทางกลับกัน ทุกครั้งที่รู้สึกด้อยกว่าคนอื่น ไม่จำเป็นที่เราต้องมองหาคนที่ด้อยกว่าเพื่อให้ตัวเองดีขึ้น ก็เหมือนที่เราไม่ต้องมองคนที่ดีกว่าแล้วกดตัวเองลง เพราะข้อเท็จจริงคือไม่มีใครที่เจ๋งที่สุด ฉะนั้นทุกครั้งที่เปรียบตัวเองกับคนอื่น ขอให้เปลี่ยนมุมมองว่าตัวเราสำคัญและมีประโยชน์ต่อคนอื่นยังไง

“วิธีการมองจะกำหนด ว่าเราจะสุขทุกข์อย่างไร แล้วมันจะส่งต่อไปถึงความรู้สึก เปลี่ยนเป็นการกระทำ และกำหนดโชคชะตา วนไปอย่างนั้น อย่างเดียวที่พี่ขอคือ ให้คิดถึงตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเอง เข้าใจตัวเองในแบบที่เป็นจริง ๆ แล้วน้องจะรู้เป้าหมาย และมีพลังที่จะหาทางไปต่อในชีวิต”

บทที่ 2: ‘ความกดดัน’
“ยังไม่ต้องตัดสินใจว่าจะเป็นอะไร จนกว่าจะมีข้อมูลเพียงพอ”

“มีคำถามหนึ่งที่เด็กทุกคนต้องเจอ คือโตขึ้นอยากเป็นอะไร ทำให้หลายคนรู้สึกกดดัน แต่อย่าลืมว่าเรายังไม่รู้จักโลกนี้มากพอเลย ไม่แปลกที่จะยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร

“พี่เองเป็นคนหนึ่งที่โตมาโดยไม่เคยมีความฝัน ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร แต่พี่รู้แค่ว่าจะต้องทำในสิ่งที่รัก ได้อยู่กับสิ่งที่ถนัด ต้องพอเลี้ยงตัวเองได้ และมีความสุขกับชีวิต ด้านหนึ่งของการมีเงินอาจช่วยให้เรามีความสุขได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถ้าได้ทำในสิ่งที่รัก น้องจะมีความสุข จะทำงานอย่างละเมียด จะภาคภูมิใจ และจะค่อย ๆ เติบโตอย่างแข็งแรง

“ดังนั้นไม่ต้องรีบ ยามอายุน้อยเราเก็บสะสมประสบการณ์ ไม่ต้องรีบบอกตัวเองว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร ใครถามก็บอกว่ายังตัดสินใจไม่ได้จนกว่าจะมีข้อมูลมากกว่านี้ มันเหมือนวันนี้เรามีรองเท้า 2 คู่ ทุกครั้งออกจากบ้านเราจะมีทางเลือกแค่ใส่รองเท้าหนึ่งใน 2 คู่นี้เท่านั้น หรือยิ่งถ้ามีคู่เดียวก็ไม่มีทางเลือกอะไรเลย แต่ถ้าเรามีรองเท้า 5 คู่ 10 คู่ ก็ต้องใช้เวลาคิด ว่าคู่ไหนเหมาะกับสิ่งที่ต้องทำวันนั้น

“ชีวิตก็เหมือนกัน มันคือการเก็บประสบการณ์เพื่อเพิ่มโอกาส เพิ่มทางเลือกให้ตัวเอง เป็นเรื่องเดียวกันกับคำถามที่ว่า เราเรียนรู้ไปทำไม …คำตอบคือเพื่อเพิ่มทางเลือกในชีวิต ซึ่งการเรียนรู้นั้นไม่ได้หมายถึงแค่ในห้องเรียน แต่เราต้องสงสัยใคร่รู้ ตั้งคำถาม หาคำตอบกับทุกอย่างรอบตัว แล้วโอกาสของเราก็จะยิ่งเปิดกว้างขึ้น”

บทที่ 3: ‘ความรับผิดชอบ’
“สิ่งที่จำเป็นต้องทำ จะเผยหน้าตาที่แท้จริงของชีวิตให้เราเห็น”

“บางคนอยากไปเรียนไกล ๆ แต่ก็เป็นห่วงว่าต้องดูแลคนที่บ้าน เหมือนปัจจัยในชีวิตไม่เอื้อกับสิ่งที่เราอยากให้เป็นเลยสักอย่าง …คำถามคือการทำชีวิตให้ประสบความสำเร็จ เราควบคุมทุกอย่างให้ลงตัวเป๊ะอย่างที่คิดได้ไหม?

“พี่มองว่านี่คือโอกาสให้เราฝึกจัดการ ฝึกดูแลคนที่เรารักในวันที่ยังมีโอกาส และหาทางเดินตามความฝันของเราไปพร้อมกัน เพราะเมื่อโตขึ้น ชีวิตจะยิ่งโยนความรับผิดชอบที่ยากกว่านี้มาให้เราอีก มันจะมีอุปสรรคอีกมากมายใหญ่โตมาคอยขัดขวางสิ่งที่เราอยากทำเสมอ คำแนะนำของพี่คือ อะไรที่เป็นความรับผิดชอบของเรา อยู่ในมือเรา เราทอดทิ้งไม่ดูดำดูดีไม่ได้

“แล้วจะทำอย่างไรเพื่อดูแลคนที่รักไปพร้อมกับสร้างอนาคตของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่เราต้องออกแบบมัน เพื่อให้ทั้งความรับผิดชอบและสิ่งที่ต้องทำเข้าจังหวะกัน วันนี้ถือว่าน้องได้ซ้อม อย่างที่บอกว่าโลกไม่เคยเปลี่ยนไป จากกันวันนี้น้องก็ต้องกลับไปทำในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบเหมือนเดิม แต่ถ้าเข้าใจแล้วว่าปัจจัยบางอย่างไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต แต่มันคือหน้าตาที่แท้จริงของชีวิต และเป็นส่วนผสมที่จะกำหนดว่าเราต้องทำอะไร จะจัดการอย่างไร และดำเนินต่อไปแบบไหน

“พี่บอกได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จ ได้รับการยอมรับ เป็นที่จดจำ พวกเขาล้วนทำในสิ่งที่ยากด้วยกันทั้งนั้น แล้วน้องต้องจำไว้ว่า หลายอย่างในชีวิตเป็นภาคตรงข้ามของโรงเรียน เพราะโรงเรียนจะให้บทเรียนเราก่อน แล้วตามด้วยบททดสอบ …แต่ชีวิตจริงจะส่งบททดสอบให้เราก่อน แล้วค่อยให้บทเรียนตามมา”

บทที่ 4: ‘ครอบครัว’
“มองอย่างเข้าใจ และอดทนรอวันที่ชีวิตเป็นของเรา”

“น้องบางคนมีความฝัน มีเส้นทางของตัวเอง แต่ครอบครัวอยากให้เดินไปอีกทางที่พวกเขาต้องการ สถานการณ์อย่างนี้ เราต้องย้อนไปที่ข้อเสียของการเป็นเด็ก ที่กำหนดให้เราต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของคนอื่น เพราะมนุษย์ทุกคนจะไม่สามารถเดินหรือหยิบอะไรใส่ปากด้วยตัวเองได้เลย จนกว่าอายุอย่างน้อยปีครึ่ง ยิ่งกว่าจะถึงวันที่ตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองได้ทั้งหมดก็อีกนาน

“ทุกคนจึงต้องลุ้นตั้งแต่วันแรกของการปฏิสนธิ ว่าจะได้อยู่ในครอบครัวแบบไหน เป็นครอบครัวที่ประกอบสร้างด้วยความรักหรือปัญหา แล้วพวกเขาจะทะเลาะกันไหม จะทุบตีเรารึเปล่า จะสนับสนุนในสิ่งที่เราเป็นแค่ไหน หรือจะยัดเยียดเอาสิ่งที่เราไม่ได้อยากทำมาให้”

“สิ่งสำคัญที่พี่อยากบอกคือ เราต้องรอวันของเราอย่างอดทน รอจนวันที่เรียนจบ วันที่บรรลุนิติภาวะ วันที่พร้อมดูแลตัวเองได้ ระหว่างนั้นพยายามมองไปที่ครอบครัวของเราอย่างเข้าใจ พยายามให้อภัยถ้าทำได้ เพราะวันนี้และนับไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง เราต้องพึ่งพาเขา มันคือความจำเป็น แต่เราจะไม่อยู่ตรงนี้ตลอดไป และพยายามเข้าใจด้วยว่าคนในยุคสมัยหนึ่ง เขามีชุดข้อมูลความรู้ไม่มากนัก ทั้งเรื่องการเรียนหรืออาชีพ แต่สำหรับน้อง ๆ โลกที่เห็นมันกว้างใหญ่กว่านั้น น้องกำลังเติบโตในโลกที่มีอาชีพและทางเลือกมากมายกว่าคนรุ่นก่อน

“…ฉะนั้นอย่าเพิ่งยอมแพ้ เพียงแค่ว่าวันนี้ชีวิตยังไม่เป็นของเรา มันไม่ใช่ความผิดของใครเลย เราแค่ต้องพึ่งพาครอบครัว พึ่งพาคนที่โตกว่า ไม่เป็นไร แค่อดทนรอ”

บทที่ 5: ‘กำลังใจ’
“น้อง ๆ จะเป็นเจ้าของชีวิต และกลายเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น”

“ก่อนจากกัน พี่ขอย้ำว่าชีวิตนั้นเป็นของเรา และเราสามารถออกแบบมันได้ ส่วนจะยากหรือง่ายก็ขึ้นกับปัจจัยแวดล้อม และวันที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร เราต้องมีข้อมูลมากพอเพื่อทางเลือกที่มากพอ ซึ่งจะเกิดได้ต่อเมื่อมีการศึกษาที่มากพอ ไม่ใช่แค่ในโรงเรียน แต่คือจากทุกที่ทุกแห่ง

“และพี่ยืนยันว่าเราเลือกไม่ได้จริง ๆ ว่าจะเกิดมาในครอบครัวหรือสังคมที่มีสภาพอย่างไร หรือท่ามกลางพ่อแม่ญาติพี่น้องแบบไหน โลกนี้จึงสร้างสิ่งที่เรียกว่าเพื่อน เพื่อนคือครอบครัวที่เราเลือกเอง เพื่อนคือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนที่ครอบครัวให้ไม่ได้ วันนี้พี่จึงอยากให้น้อง ๆ ‘ก้าวเพื่อน้อง’ ทุกคน ใช้โอกาสให้คุ้มค่า ทำความรู้จักและเรียนรู้ชีวิตกัน เชื่อมโยงและเติบโตไปพร้อมกัน เพื่อช่วยเหลือพึ่งพากันทั้งวันนี้และในวันข้างหน้า”

“สุดท้าย โลกจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม วิธีมองของเราเท่านั้นที่จะบอกว่าโลกมีหน้าตาอย่างไร อย่าลืมว่าไม่ต้องมองคนอื่น เพราะเรามีเรื่องอีกมากมายต้องคิดเพื่อทำให้ตัวเองดีขึ้น …แล้วในที่สุด น้อง ๆ จะเติบโต ออกจากรัง โบยบินด้วยปีกของตัวเอง แล้วถึงวันนั้นเราจะมาอัปเดตชีวิตกัน พี่เชื่อว่าน้อง ๆ จะเป็นเจ้าของชีวิต และกลายเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นได้ 

“…เป็นกำลังใจให้น้อง ๆ ทุกคนครับ”


ที่มา :  เรียบเรียงจาก ‘อย่าหาว่าน้าสอน’ ตอนพิเศษ โดย ‘น้าเน็ก’ เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา จากงาน ‘ดู-เรียน เรียนรู้ดูทำ’ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จ.นนทบุรี