กสศ. ม.หอการค้าไทย ม.ชิคาโก นำโดย ศ.เจมส์ เจ เฮคแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ร่วมวิจัยพัฒนานโยบายยกระดับทุนมนุษย์ไทยเพื่อยุติความเหลื่อมล้ำตั้งแต่ปฐมวัย

กสศ. ม.หอการค้าไทย ม.ชิคาโก นำโดย ศ.เจมส์ เจ เฮคแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ร่วมวิจัยพัฒนานโยบายยกระดับทุนมนุษย์ไทยเพื่อยุติความเหลื่อมล้ำตั้งแต่ปฐมวัย

Professor James J. Heckman Director of The Center for the Economics of Human Development, University of Chicago เสนอแนะประเทศไทยว่า การลงทุนส่งเสริมการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยให้แก่ผู้ปกครอง มีความคุ้มค่า สามารถช่วยให้เด็กที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีรายได้น้อย มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตและลดปัญหาความยากจนของเด็กลงได้ มีหลักฐานยืนยันความสำเร็จจากหลายประเทศ ขณะที่ กสศ. และม.หอการค้าเปิดผลวิจัย การพัฒนาการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองผ่านการเยี่ยมบ้านและให้คำแนะนำ ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ พบว่า ส่งผลให้เด็กมีทักษะหรือพัฒนาการดีอย่างมีนัยยสำคัญ

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ Center for Economics of Human Development, University of Chicago นำโดย Professor James J. Heckman ริเริ่มความร่วมมือ ในข้อตกลงทางวิชาการเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาและพัฒนาทุนมนุษย์  เพื่อช่วยให้ประเทศไทยมีเครื่องมือทางนโยบายและข้อเสนอนโยบายในการพัฒนาทุนมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วที่สุด และเริ่มต้นตั้งแต่แรกเกิด จนถึงวัยแรงงาน

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในสถานการณ์ความท้าทายสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เราก้าวเป็นสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) และอัตราเด็กเกิดใหม่ลดลงต่ำกว่าปีละ 500,000 คนเท่านั้น รวมทั้งจากข้อมูลเด็กและเยาวชนที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษาใน 77 จังหวัดทั่วประเทศปี 2566 พบว่าช่วงอายุระหว่าง 3-5 ปี มีจำนวนถึง 317,024 คน ที่ยังไม่ได้เข้าสู่การพัฒนาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงว่า ถ้าเราต้องการพัฒนาประเทศโดยใช้รากฐานของการพัฒนาคนเป็นตัวตั้ง ไม่ควรปล่อยให้เด็กปฐมวัยจำนวนมากขาดการพัฒนาที่เหมาะสมอีกต่อไป

ดร.ไกรยส ระบุว่า ความร่วมมือระหว่าง 3 องค์กรในครั้งนี้ เป็นระยะเวลา 5 ปี มุ่งเน้นนำองค์ความรู้ประสบการณ์ผลงานวิจัยที่ดีที่สุด พัฒนาเด็กไทยที่เกิดน้อยลงทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลไกสำคัญของการเลี้ยงดู การช่วยเหลือครอบครัวที่ต้องการการสนับสนุนอย่างเต็มที่ จะช่วยให้ประเทศไทยมีเครื่องมือทางนโยบายและมีข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาทุนมนุษย์ได้อย่าวรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ และเริ่มตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งนอกจากการพัฒนาด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมแล้ว จะมีกลไกการประเมินการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า บทเรียนที่เรานำมาจากต่างประเทศหากจะมาใช้ในประเทศไทยควรจะต้องทำอย่างไร บนเงื่อนไขอะไร การสนับสนุนแบบไหน ที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

“หนึ่งในหัวใจสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เป็นมีการพูดถึงมานานในประเทศไทยและระดับนานาชาติคือการเลี้ยงดู บทบาทของครอบครัว บทบาทของการเลี้ยงดูที่ส่งเสริมพัฒนาการอย่างถูกหลักวิชาอย่างเหมาะสมและทันเวลา ทำอย่างไรที่จะสามารถที่จะกำหนดนโยบายหรือว่ามีมาตรการในการพัฒนาการเลี้ยงดูของเด็กปฐมวัยให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่เป็นครอบครัวยากจน ครอบครัวแหว่งกลาง ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีปัญหาต่างๆ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่”

ดร.ไกรยส ระบุว่า งานวิจัย องค์ความรู้และนวัตกรรมซึ่งมาจากความร่วมมือของ 3 หน่วยงาน ในครั้งนี้ จะเป็นเครื่องมือและแนวทางให้ทุกฝ่าย  สร้างกลไกการเลี้ยงดูเด็กก่อนปฐมวัยที่ดีให้เกิดขึ้นให้ได้ก่อน นำเด็ก เข้าสู่ระบบการศึกษา     บทพิสูจน์งานวิจัยนี้ ไม่ได้ยืนยันความสำเร็จแค่เพียงกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น ประเทศจีน สหรัฐอเมริกา ไอซ์แลนด์ จาไมกา

Prof. James J. Heckman กล่าวว่า ช่วงปฐมวัยของชีวิต โดยการเลี้ยงดูเด็กโดยผู้ปกครองในครอบครัว มีผลกระทบอย่างมากต่อความสำเร็จในชีวิตของเด็ก งานวิจัยชิ้นใหม่ๆชี้ให้เห็นว่าความยากจนของเด็กไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงจำนวนรายได้อย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปัจจัยด้านการเลี้ยงดูอีกด้วย เด็กที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีรายได้น้อยแต่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีมักมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าเด็กที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีรายได้สูงแต่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดี

ปัญหาทางสังคมของผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 มีรากฐานมาจากช่วงวัยเด็กก่อนอายุ 5 ปี ดังนั้นการระบุเด็กที่มีความเสี่ยงตั้งแต่วัยเด็ก (ช่วงก่อนอายุ 5 ปี) และส่งเสริมการเลี้ยงดูให้แก่ครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะ และพฤติกรรมเชิงบวกในช่วงปฐมวัย จะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้

กรณีตัวอย่างจาก Perry Preschool Projects ศึกษาผลกระทบของการให้ส่งเสริมพัฒนาการ ในช่วงปฐมวัยที่มีคุณภาพแก่เด็กด้อยโอกาสในชุมชน โดยเริ่มต้นที่กลุ่มเด็กอายุ 3 ปี มีการเยี่ยมบ้าน (Home Visit) 2 ชั่วโมง/ครั้ง ในระยะเวลา 2 ปี และติดตามเด็กกลุ่มเป้าหมายเป็นเวลาหลายปี หรือกรณีตัวอย่างจากประเทศจีน โครงการ China REACH in Huachi โปรแกรมนี้ส่งบุคคลที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วที่มีทักษะคล้ายคลึงกับคุณแม่ไปเยี่ยมครอบครัวที่มีเด็กเล็ก เป็นเวลา 1 ชั่วโมง/สัปดาห์ เริ่มต้นไม่นานหลังจากเด็กได้เกิดขึ้นมาและดำเนินต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี แนวทางนี้มีพื้นฐานมาจากโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จชื่อ “Jamaica Reach Up and Learn” ทั้งหมดนี้พบว่า เด็กที่เข้าร่วมโครงการมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าเด็กที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ เช่น มีโอกาสเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย และเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า

“การลงทุนส่งเสริมการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยให้แก่ผู้ปกครอง มีความคุ้มค่า เป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาทักษะ และแก้ไขปัญหาสังคมที่สามารถส่งผลต่อเด็กทั้งในรุ่นปัจจุบันและรุ่นถัดไป อีกทั้งสามารถช่วยให้เด็กที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีรายได้น้อย มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตและลดปัญหาความยากจนของเด็กลงได้”

ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.วีระชาติ กิเลนทอง  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย | RIPED มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  กล่าวถึงผลการวิจัยร่วมกับกสศ. ในโปรแกรมการพัฒนาการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองผ่านการเยี่ยมบ้านด้วยหลักสูตร Reach Up (home visiting parenting program) ที่วิจัยกับ 494 ครอบครัว  ใน 6 พื้นที่ทั่วประเทศ  มีการเยี่ยมบ้านได้ทั้งหมด 15,785 ครั้ง คิดเป็น 32 ครั้งต่อคนมีผู้เยี่ยมบ้านทั้งหมด 119 คน โดยส่วนใหญ่เป็นครูปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ร้อยละ 64) อีกส่วนหนึ่งเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. (ร้อยละ 28) ส่วนที่เหลือเป็นอาสาสมัครในชุมชน (ร้อยละ 8) ผลการประเมินหลัก พบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองผ่านการเยี่ยมบ้าน (parenting home visiting) มีทักษะหรือพัฒนาการดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ การเยี่ยมบ้านหนึ่งครั้งสามารถช่วยให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดีเมื่อนำผลการประเมินหลักของไทยไปเปรียบเทียบกับผลของโครงการที่ใช้หลักสูตร Reach Up ภายใต้โครงการ China REACH ซึ่งเริ่มต้นวิจัยกับเด็กยังมีอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ (11 เดือน)และยังไม่เข้าเรียน รวมทั้งเป็นกลุ่มทดลองที่มีฐานะยากจนมากกว่าการวิจัยในประเทศไทย พบว่า กิจกรรมการเยี่ยมบ้านเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านทุนมนุษย์ (human capital) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากนำไปใช้กับเด็กปฐมวัยที่ด้อยโอกาสมากและเริ่มต้นตั้งแต่อายุน้อย

รศ.ดร.วีระชาติ กล่าวว่า พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูถือเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในช่วงก่อนวัยเรียน แต่จะสามารถอบรมเลี้ยงดูเด็กได้อย่างเต็มที่และมีคุณภาพ ก็ต่อเมื่อมีความรู้ ทัศนคติและมีความเข้าใจในวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมกับเด็ก ดังนั้น นอกเหนือจากการเข้าถึงบริการระบบสุขภาพ การศึกษา และสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐานแล้ว พ่อแม่และผู้เลี้ยง ดูจึงควรได้รับคำแนะนำ การช่วยเหลือ และการสนับสนุน ทั้งในด้านความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กและแนวทางการเลี้ยงดูเด็กผ่านการพัฒนาการอบรมเลี้ยงดู (parenting program)

สำหรับ หลักสูตร Reach Up เป็นแนวทางการพัฒนาการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองผ่านการเยี่ยมบ้าน (home visiting parenting program) โดยใช้หลักการทั่วไปของการเลี้ยงลูกเชิงบวก (positive parenting) ที่เน้นการกระตุ้นพัฒนาการเด็กปฐมวัย (psychosocial stimulation) และการสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างแม่และเด็ก (positive mother-child interaction) ผ่านการสนทนากับเด็ก (conversing) การบอกชื่อสิ่งของหรือการกระทำ (labeling) การเล่นกับเด็ก (playing) สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกัน การทดลองในภาคสนามก็ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาการอบรมเลี้ยงดู (parenting) ที่ได้ผลมักจะอยู่ในรูปของกิจกรรมที่เน้นการให้กำลังใจ (positive reinforcement) ทั้งเด็กและผู้ปกครอง และเน้นการสาธิต (demonstration) การทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก โดยผู้เยี่ยมบ้าน (home visitor) จะสาธิตการทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ส่งเสริม และให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครอง