การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรระหว่างโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลกับโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองยังคงมีความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพของเด็กและเยาวชน
“ธนาคารโอกาสและถนนครูเดิน” จึงเป็นหนึ่งในแนวทางที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พยามสร้างความเชื่อมั่นว่า การจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จะช่วยสร้างโอกาสให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง โดยการร่วมมือกับมูลนิธิกระจกเงา เครือข่ายชมรมนักจัดการศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร และ ALTV Thai PBS ขับเคลื่อนงาน “ธนาคารโอกาสและถนนครูเดิน” ให้เป็นช่องทางในการรับบริจาคสิ่งของที่จำเป็น เช่น สื่อการเรียนการสอน คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก และอุปกรณ์การศึกษาที่มีความจำเป็นต่อโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารที่มีความต้องการเร่งด่วน
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 “ธนาคารโอกาสและถนนครูเดิน” จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ณ โรงเรียนบ้านโคกงาม อ.ด่านซ้าย จ.เลย เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในการสนับสนุนทรัพยากรการศึกษาสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมทั้งเปิดเวทีเสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในพื้นที่ เพื่อพัฒนาความร่วมมือในการสนับสนุนทรัพยากรการศึกษาที่เสมอภาค
งานครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก อาทิ นายกัมปนาท ศรีเชื้อ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3, ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษาของคณะกรรมการบริหาร กสศ., นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ., ดร.อารี อิ่มสมบัติ นักวิชาการอาวุโส สำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา กสศ., นายประดิษฐ์ แก้วยม ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองหลวง, นางสาวณิชกมล แสงราช จากโรงเรียนบ้านกกจาน ครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่น 1, นายชัยธวัช เนียมศิริ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย และผู้บริหารเขตการศึกษาระดับพื้นที่ รวมถึงครูและตัวแทนภาคเอกชนกว่า 200 คน
นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวถึงการจัดกิจกรรมธนาคารโอกาสและถนนครูเดินครั้งที่ 4 ว่า เป็นการจัดกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ให้การสนับสนุนด้านทรัพยากร แต่ยังเป็นการหาความรู้เกี่ยวกับความขาดแคลนเครื่องมือในการเรียนการสอนของครูและโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งกิจกรรมนี้จะช่วยให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดสรรทรัพยากรให้แก่โรงเรียนที่มีความเหลื่อมล้ำ
ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวเพิ่มเติมว่า กสศ. มีงานวิจัยที่สนับสนุนความพยายามในการปฏิรูปสูตรการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Equity-based Budgeting) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถใช้สูตรการจัดสรรงบประมาณแบบเดียวกันทั่วประเทศได้ เนื่องจากแต่ละโรงเรียนมีปัญหาและบริบทพื้นที่ที่แตกต่างกัน หากใช้จำนวนของนักเรียนเป็นปัจจัยหลักในการจัดสรรทรัพยากร ก็จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในบางพื้นที่ งานวิจัยนี้จึงมุ่งหวังที่จะช่วยให้ทุกโรงเรียนสามารถได้รับงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการดูแลปัจจัยพื้นฐานในการจัดการศึกษาได้
“หากพิจารณาจากข้อมูลใน จ.เลย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก โดยมากกว่า 80% อยู่ในเขตพื้นที่ สพป.เขต 3 ซึ่งเราหวังว่า กิจกรรมในวันนี้จะช่วยให้ครูในพื้นที่เหล่านี้มีอุปกรณ์การสอนที่เพิ่มขึ้นและเพียงพอในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน นอกจากนี้ กิจกรรมนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ครูได้เห็นบรรยากาศการทำงานร่วมกันของพันธมิตรต่าง ๆ ที่ช่วยให้กิจกรรมในวันนี้เกิดขึ้นได้
“กสศ. คาดหวังว่า กิจกรรมในวันนี้จะช่วยส่งเสริมรูปแบบการระดมทรัพยากรเพื่อสนับสนุนโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กให้มีความยั่งยืนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในอนาคต โดยจะมีการรวบรวมข้อมูลจากกิจกรรมธนาคารโอกาสและถนนครูเดินในทั้ง 4 ภูมิภาค เพื่อนำมาสรุปและขยายผลการดำเนินงานต่อไป”
นายกัมปนาท ศรีเชื้อ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 กล่าวว่า การจัดกิจกรรมธนาคารโอกาสและถนนครูเดินครั้งนี้ถือเป็นการขับเคลื่อนความร่วมมือที่สอดคล้องกับแนวนโยบายของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ว่า “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” ซึ่งกิจกรรมนี้มุ่งระดมพลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะการขับเคลื่อนการจัดสรรทรัพยากรการศึกษาที่เสมอภาค ผ่านความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน เพื่ออนาคตที่ดีของเยาวชนและสังคมไทย
นายกัมปนาทกล่าวต่อว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 รับผิดชอบการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูเรือ และอำเภอนาแห้ว ซึ่งมีโรงเรียนอยู่ในความดูแลรวม 105 แห่ง โดย 93 แห่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก และมีนักเรียนทั้งหมดประมาณ 6,797 คน
“โจทย์เรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นปัญหาที่สังคมไทยเผชิญมาหลายสิบปี โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลกับโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมือง ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะลดความแตกต่างลงได้ และในทางกลับกัน ปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในด้านพื้นที่ บุคลากร การจัดสรรงบประมาณตามรายหัวนักเรียน รวมถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ทำให้องค์กรท้องถิ่นไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือโรงเรียนในพื้นที่ได้มากนัก”
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 ยังกล่าวถึงปัญหาหลักที่โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลต้องเผชิญ ได้แก่ 1. การได้รับงบประมาณที่น้อยจากจำนวนของนักเรียนที่น้อย 2. ฐานะยากจนของนักเรียนและชุมชน 3. การขาดแคลนครูและบุคลากรในโรงเรียน และ 4. ปัญหาด้านภูมิประเทศที่ทำให้ครูต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากกว่าครูในโรงเรียนเมือง ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
“การจัดกิจกรรมธนาคารโอกาสและถนนครูเดินครั้งที่ 4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงไม่เพียงแต่ช่วยเหลือโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนเชิงนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ครู บุคลากรทางการศึกษา และที่สำคัญคือนักเรียนทุกคน ในนามของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เข้ามาสนับสนุนและให้ความสำคัญกับการศึกษาของเด็กและเยาวชน รวมถึงคุณครูในพื้นที่ห่างไกล และหวังว่าการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น”
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร กสศ. กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งหากได้รับการจัดสรรทรัพยากรและบุคลากรที่เหมาะสม ก็สามารถจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพได้ ตัวอย่าง เช่น โรงเรียนบ้านร่องไผ่ในจังหวัดเลย ที่แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก แต่ด้วยความตั้งใจของครูและทรัพยากรที่เพียงพอ ทำให้สามารถสอนให้เด็กทุกคนในโรงเรียนอ่านออกเขียนได้ และได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครองและชุมชนในการส่งบุตรหลานมาเรียน
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งได้พิสูจน์แล้วว่า หากมีความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและทรัพยากร ก็สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกิจกรรมธนาคารโอกาสและถนนครูเดินถือเป็นนวัตกรรมในการต่อยอดการระดมทุนผ่านผ้าป่าการศึกษา ซึ่งเป็นวิธีการระดมทรัพยากรที่ทุกภาคส่วนต้องเห็นความสำคัญ หากต้องการให้โรงเรียนขนาดเล็กมีโอกาสในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาที่มีคุณภาพ และเท่าเทียมกับโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมือง
“ธนาคารโอกาสและถนนครูเดิน เป็นโมเดลหนึ่งในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และหากต้องการสานต่อโมเดลนี้ จำเป็นต้องอาศัยพลังจากทุกฝ่ายในท้องถิ่น ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังต้องแสวงหาความร่วมมือจากเครือข่ายทั้งภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม เครือข่ายผู้ปกครองและเยาวชน ในการร่วมกันระดมทรัพยากรและสนับสนุนคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล”
ศ.ดร.สมพงษ์เชื่อมั่นว่า พลังจากทุกฝ่ายจะเป็นจุดคานงัดสำคัญในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะการมีบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในพื้นที่ แต่ยังสามารถเป็นเจ้าภาพในการเชิญชวนภาคีเครือข่ายในพื้นที่มาร่วมมือกันทำงานด้านการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณทิรัตน์ ผลินกูล หัวหน้าโครงการศูนย์แบ่งต่อ มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า กิจกรรมธนาคารโอกาสและถนนครูเดินครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากการบริจาคอุปกรณ์ทางการศึกษาผ่านมูลนิธิกระจกเงา ทั้งหนังสือ สมุด ปากกา ชุดนักเรียน ไปจนถึงอุปกรณ์กีฬา ซึ่งถูกจัดเป็นตลาดนัดถนนครูเดินภายใต้คอนเซ็ปท์ “ครูมีของ เด็กมีอนาคต” เพื่อให้ครูได้นำอุปกรณ์เหล่านี้กลับไปใช้ในการเรียนการสอน หรือมอบให้กับนักเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
คุณทิรัตน์กล่าวว่า การจัดกิจกรรมครั้งที่ 4 นี้ทำให้เห็นถึงความขาดแคลนและความต้องการทรัพยากรในการเรียนการสอนที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค โดยในบางพื้นที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น ในจังหวัดเลย ที่มีการฝึกงานฝีมือเด็กซึ่งเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมการประดิษฐ์ผีตาโขน วัสดุเช่น กระดาษและสีจึงเป็นสิ่งที่ครูต้องการในการสอน ส่วนในพื้นที่จังหวัดตราด ที่เน้นการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อเตรียมเด็กไปสู่การทำงานในอุตสาหกรรม ครูในพื้นที่นี้มักต้องการอุปกรณ์วิทยาศาสตร์และวัสดุสำหรับการทดลอง
“จากประสบการณ์ที่เห็น เราจะพบว่าความต้องการของครูในแต่ละพื้นที่นั้นแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นในอนาคตหากหน่วยงานใดจะจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ ควรทำการศึกษาข้อมูลและสำรวจความต้องการของแต่ละพื้นที่ให้ละเอียดก่อนที่จะจัดสรรสิ่งของเพื่อนำมาสนับสนุนการเรียนการสอน เพื่อให้กิจกรรมนี้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างเต็มที่ การระดมทรัพยากรในรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลได้อุปกรณ์ที่จำเป็น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนในการสนับสนุนการศึกษาให้มีคุณภาพและเสมอภาคในทุกพื้นที่”