1 โรงเรียน 3 รูปแบบ : ภารกิจที่พลิกโฉมการศึกษาในราชบุรี จากมุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

1 โรงเรียน 3 รูปแบบ : ภารกิจที่พลิกโฉมการศึกษาในราชบุรี จากมุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพลิกโฉมการศึกษาในจังหวัดราชบุรี ผ่านการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นในรูปแบบ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ 100% ทั่วทั้งจังหวัด โดยมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่มุ่งพัฒนาการศึกษาและตอบสนองความต้องการของนักเรียนในยุคใหม่

โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเปลี่ยนชีวิตเด็กและเยาวชนที่ยากจนและด้อยโอกาส แต่ยังช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนาเต็มศักยภาพของตนเองได้ นอกจากนี้ยังเป็นก้าวสำคัญในการลดอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมใหญ่ที่เป็นรอยต่อสำคัญ การจัดการศึกษาในรูปแบบ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ จะช่วยป้องกันการหลุดจากระบบการศึกษาได้

“ขอแสดงความยินดีกับจังหวัดราชบุรีที่ได้ร่วมพลังกันขับเคลื่อนการจัดการศึกษา 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ทั่วทั้งจังหวัด ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาที่มีการรับรองตามกฎหมายเปิดโอกาสให้สถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาในระบบตามหลักสูตรทั่วไป การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย”

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ มองผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นความสำเร็จจากความร่วมมือของ 3 ฝ่ายสำคัญ ได้แก่

  1. ภาคราชการ ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และคณะครู ที่ร่วมมือกันขับเคลื่อนการจัดการศึกษาภายใต้โครงการ
  2. ภาคประชาสังคมและภาควิชาการ โดยเฉพาะจากสถาบันอุดมศึกษาสองแห่งในจังหวัด ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ราชบุรี ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทางด้านวิชาการและการพัฒนา
  3. ภาคเอกชน โดยเฉพาะจากบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคุณสมัชชา พรหมศิริ และอดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่มีบทบาทในการเป็นตัวแทนภาคธุรกิจและการวางรากฐานโครงการ Thailand Zero Dropout ในจังหวัดราชบุรี

“สามฝ่ายนี้ถือเป็น 3 เสาหลักที่มั่นคงและยั่งยืนที่จะพาเด็กกว่า 13,700 คนไปสู่โอกาสในการเรียนรู้และการประกอบอาชีพ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาในเชิงโครงสร้าง โดยมีจังหวัดราชบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดแรก ๆ ที่จะทำงานเต็มพื้นที่ พร้อมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ทำหน้าที่บูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน”

อีกประเด็นที่สำคัญคือ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญในการทำงานกับเยาวชนที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา โดยถือเป็นการคิดค้นจากภายในระบบราชการผ่านผู้บริหารและครูในโรงเรียน ซึ่งเป็นการปฏิรูปที่เกิดขึ้นจากบุคลากรภายในกระทรวงศึกษาธิการเอง ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจที่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องภายในระบบ

“นี่คือหมุดหมายสำคัญที่การปฏิรูปการศึกษาเกิดขึ้นจากภายใน และจะมีแนวทางการจัดการศึกษาหลายรูปแบบที่จะได้รับการผลักดันตามมา เช่น การจัดตั้งศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 และการจัดการศึกษาแบบ Learn to Earn เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ควบคู่กับการสร้างรายได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับการศึกษาให้กับเยาวชนในพื้นที่”

ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า กระทรวงศึกษาธิการได้แสดงให้เห็นถึงการปรับโครงสร้างของระบบการศึกษาให้มีความยืดหยุ่น เปิดกว้าง และยอมรับความแตกต่าง พร้อมที่จะพิจารณาทุกแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยและจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงทุกปี ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การทำให้เด็ก ๆ สามารถอยู่ในเส้นทางการเรียนรู้จนจบการศึกษาสูงที่สุดตามศักยภาพ และสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ เพื่อยุติวงจรความยากจนของครอบครัวในอนาคต

“การทำให้เด็กทุกคนเข้าถึงโอกาสเป็นโจทย์ท้าทายที่สำคัญและเป็นภารกิจของประเทศ ซึ่งเป็นงานที่เราทุกคนต้องร่วมมือกันสร้างต้นแบบ” ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กล่าวและเสริมว่า “หาก 333 โรงเรียนในจังหวัดราชบุรีสามารถมีช่องทางและพื้นที่เรียนรู้ที่ยืดหยุ่นรองรับเด็กทุกคนได้ เราเชื่อว่าเด็กที่ตกหล่นจากระบบกว่า 13,700 คน จะสามารถกลับมาสู่เส้นทางการศึกษาได้ แม้พวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหาหรือความเปราะบางที่เกิดขึ้นในชีวิต”

“ต้นแบบการทำงานในราชบุรีนี้จะเป็นก้าวแรกในการขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ เราเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงเวลานั้น ทุกจังหวัดจะมีโมเดลของตัวเองที่มีรูปแบบและวิธีการที่แตกต่างกันไป เพื่อให้การศึกษามีโอกาสเข้าถึงเด็ก ๆ ทุกคนในทุกพื้นที่ของประเทศไทยอย่างไม่สิ้นสุด”

การทำให้ทุกเด็กมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาไม่เพียงแต่เป็นภารกิจของจังหวัดราชบุรีเท่านั้น แต่ยังเป็นภารกิจของทั้งประเทศที่ต้องร่วมมือกัน สร้างต้นแบบการศึกษาใหม่ที่ยืดหยุ่นและรองรับทุกความต้องการ เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้และเติบโตได้ตามศักยภาพของตนเอง แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคใด ๆ ก็ตาม