ความพยายามไม่เคยไร้ผล! ร่วมยินดีกับ ‘เอิร์ท’ กฤษณะภัส เรืองฤทธิ์ สู่เส้นทางนักศึกษาคณะดนตรีและการแสดง

ความพยายามไม่เคยไร้ผล! ร่วมยินดีกับ ‘เอิร์ท’ กฤษณะภัส เรืองฤทธิ์ สู่เส้นทางนักศึกษาคณะดนตรีและการแสดง

ชีวิตที่เคยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทายไม่สามารถหยุดความมุ่งมั่นของ ‘เอิร์ท’ กฤษณะภัส เรืองฤทธิ์ ได้ เขาคือนักศึกษาทุน กสศ. ที่เคยใช้ชีวิตในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดชลบุรี แต่ด้วยความพยายามและความฝันที่ไม่เคยยอมแพ้ เอิร์ทได้ก้าวข้ามอุปสรรคจนสามารถเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางการศึกษาที่มหาวิทยาลัยบูรพา ด้วยการเป็นนักศึกษาคณะดนตรีและการแสดงในปีการศึกษา 2568 พร้อมกับได้รับประสบการณ์ที่สำคัญจากการออดิชันกับค่ายเพลง Warner Music Thailand

กสศ. ขอชวนทุกคนมาร่วมยินดีและติดตามเรื่องราวของเอิร์ท ที่ใช้ดนตรีและการศึกษาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ การเดินทางของเขาได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่า ความพยายามไม่เคยไร้ผล และเมื่อได้รับโอกาส ทุกคนยังสามารถทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างที่ตั้งใจ

‘เอิร์ท’ กฤษณะภัส เรืองฤทธิ์

โอกาสเปลี่ยนชีวิต: เส้นทางจากสถานพินิจสู่เวทีแห่งความฝัน

“วันที่ก้าวเท้าเข้าไปที่นั่น ภาพในหัวมันว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรเลย แต่สักพักเราเริ่มคิดว่ามีอะไรที่พอจะทำได้ ผมจึงนึกถึงการร้องเพลงที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก จากนั้นก็ได้โอกาสเข้าประกวด ได้รางวัล แล้วประสบการณ์อีกมากมายก็ตามมา

“ผมว่าเรื่องราวของผมคือภาพสะท้อนความหมายของ ‘โอกาส’ โดยตรง ว่าเมื่อพบสิ่งที่เป็นความหวังเดียวที่มาฉุดให้ผมลุกขึ้นและกล้าที่จะก้าวเดินต่อไป ถ้าไม่มีใครมองเห็น ไม่มีคนรับฟังและเข้าใจ ไม่มีใครให้พื้นที่และยื่นมือเข้ามา …ผมคงไม่มีโอกาสพิสูจน์ว่าตัวเองยังคงมีคุณค่า และเริ่มต้นใหม่ได้”

คำพูดจาก เอิร์ท ในวันขึ้นร้องเพลงบนเวทีมหกรรม All For Education: Education For All ปลุกพลังปวงชนเพื่อเด็กไทยทุกคน ซึ่ง กสศ. จัดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ณ IMPACT Forum เมืองทองธานี ในวันนั้นเขาได้ขึ้นแสดงในฐานะเยาวชนจากสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดชลบุรี

ราวครึ่งปีถัดมา กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เราพบเอิร์ทอีกครั้งในบทบาทใหม่ เมื่อเจ้าตัวกำลังสาละวนอยู่กับขั้นตอนการรายงานตัวเป็นนักศึกษาชั้นปี 1 ของคณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา ในปีการศึกษา 2568

เรากำลังเข้าสู่เรื่องราวของ ‘ดนตรี’ และ ‘ผู้คน’ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเอิร์ท จากวันที่เคยสิ้นหวัง สู่เส้นทางฝันในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเอิร์ทบอกว่า “ถึงตรงนี้แล้วทำได้อย่างเดียวคือเต็มที่ที่สุด เพราะถ้ามันเป็นโอกาสเดียวของชีวิต ก็อยากจะใส่ให้สุดความสามารถ”

ถ้าไม่ทุ่มสุดตัว ก็ต้องแบกความเสียใจต่อไปอีกนาน

บริเวณหน้าอาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยบูรพา ในช่วงเที่ยงวันที่ฝนเพิ่งหยุดโปรย แสงแดดยังไม่ปรากฏ แต่ฟ้าฟากหนึ่งเริ่มส่องสว่างสดใส เราทักทายกัน และไม่ทันที่รอยยิ้มจะหายไป เอิร์ทก็เปิดเผยข่าวดีว่า

“ผมสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยรอบพอร์ต (Portfolio) แล้ว วันนี้มาจ่ายค่าเทอมและยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนนักศึกษาครับ ตื่นเต้นมาก”

เอิร์ทเล่าต่อว่า “สี่เดือนกว่าแล้วที่ผมทำงานเป็นพนักงานจัดเลี้ยง (Banquet) ที่ El Nino International Restaurant ในสนามกอล์ฟอมตะสปริงคันทรีคลับ ระหว่างนั้นก็มีงานร้องเพลง ทั้งอีเวนท์ ออดิชัน แล้วก็เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปด้วย” ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยและท้าทายในการปรับตัวและจัดการกับขั้นตอนต่าง ๆ แต่แววตาของเอิร์ทยังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและกระหายที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ ๆ ส่วนความกังวลที่เกาะกุมใจก็ค่อย ๆ คลายลง หลังจากผ่านหลากหลายบททดสอบสำคัญในชีวิตไปแล้ว

“ตั้งแต่ตั้งเป้าหมายว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็พยายามเต็มที่ทุกอย่าง แต่ลึก ๆ ผมไม่เคยเชื่อว่าตัวเองจะมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะคิดมาตลอดว่าเราไม่มีอะไรเทียบกับคนอื่นได้เลย กระทั่งวันสอบที่ยืนอยู่ต่อหน้าคณะกรรมการคัดเลือก ผมต้องร้องเพลงซึ่งเป็นสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันและเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ในใจก็ยังมีความกังวลสงสัยว่าผมจะทำได้แค่ไหน” เอิร์ทกล่าว

เขายังเล่าต่อถึงความรู้สึกในวันสอบคัดเลือกว่า “ผมรู้ว่ามีคนเยอะแยะที่เก่งกว่า ฝึกฝนมานานกว่า หรือมีคนที่ทุ่มเทกับการเรียนมาหนักกว่าเรามาก ๆ ขณะที่เวลาเตรียมตัวเราน้อยกว่า แล้วพื้นฐานการเรียนรู้ของเราก็มาจากการฟังและร้องเพลงบ่อย ๆ จนซึมซับ ซึ่งแทบไม่มีทฤษฎีมาจับเลย

จนในวินาทีที่ต้องเปล่งเสียงออกไป เอิร์ทตัดสินใจว่า “ต้องเต็มที่อย่างเดียว นั่นเป็นทางเดียวเท่านั้นที่ผมจะข้ามผ่านไปได้ เพราะชีวิตที่ผ่านมาสอนผมแล้วว่าโอกาสจะไม่ผ่านมาหาเราซ้ำ ฉะนั้นถ้าไม่ทุ่มสุดตัว ผมจะต้องแบกความเสียใจต่อไปอีกนาน”

“เมื่อมีคนที่พร้อมมองตัวเราอย่างที่เราเป็น ผมเองก็ยินดีจะมองตัวเองอย่างที่เป็นจริง ๆ เช่นกัน”

หนึ่งในบททดสอบสำคัญที่เอิร์ทต้องเผชิญ คือช่วงการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่เขาต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการเปิดเผยเรื่องราวของตนเองต่อคณะกรรมการ เขาทราบดีว่า ‘นี่คือการกำหนดตัวตนสำหรับเส้นทางชีวิตที่จะก้าวไปข้างหน้า’ โดยเอิร์ทบอกว่า “ผมยินดีเปิดเผยเรื่องราวของตัวเอง ว่าเราเคยเป็นเยาวชนที่ผ่านสถานพินิจฯ ไม่ได้คิดว่าข้อมูลนี้ต้องปกปิดอะไร เพราะสำหรับผมแล้ว ประสบการณ์ที่นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมมองเห็นตัวเองชัดเจนขึ้นในทุกด้าน และผมรู้สึกดีใจมากที่จะบอกกับคนอื่น ๆ ว่าแม้ในวันที่เราผิดพลาด แต่ก็ยังมีผู้คนที่พร้อมให้โอกาส และสนับสนุนให้เราทำในสิ่งที่รัก …ดังนั้นเมื่อมีคนที่พร้อมมองตัวเราอย่างที่เราเป็น ผมเองก็ยินดีจะมองตัวเองอย่างที่เป็นจริง ๆ เช่นกัน”

เอิร์ทยังพูดถึงช่วงเวลาในวัยเด็กว่า “ตอนเด็ก ๆ บ้านผมเป็นคณะลิเก จึงโตมากับการตามที่บ้านไปออกงานและฝึกร้องเพลงมาตลอด แต่ผมกลับเป็นคนไม่มั่นใจเลยที่จะโชว์ต่อหน้าคนเยอะ ๆ จนเมื่อเรียน ปวช. และมีการประกวดร้องเพลงในกิจกรรมโรงเรียน เป็นครั้งแรกที่ผมลองสมัครเพื่อลองท้าทายตัวเองว่าทำได้แค่ไหน ก็ปรากฏว่าผมได้เป็นตัวแทนโรงเรียน และชนะเลิศระดับเขตจนได้ไต่ไปถึงระดับภาค”

จากนั้นเส้นทางชีวิตของเขาก็พลิกผันไปอยู่ในสถานพินิจฯ จนคิดว่าอนาคตคงจบลง แต่แล้วก็มีผู้ใหญ่ที่เห็นความสามารถ คอยให้กำลังใจและปลุกความหวังขึ้นมาใหม่

“ตรงนั้นเองที่ผมตัดสินใจจะมุ่งมั่นจริงจังกับการพัฒนาทักษะตัวเองให้ดีขึ้น และเส้นทางนั้นก็ค่อย ๆ พาผมไปประกวด ออกงาน พบเจอคนเก่ง ๆ ในศาสตร์ต่าง ๆ ของดนตรี ทำให้ผมได้เรียนรู้จากเขาและสะสมประสบการณ์จนได้ออกมาฝึกงาน และใช้ชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง และบอกตัวเองได้ว่าเป้าหมายต่อจากนี้จะไปทางไหน”

สุดท้าย เอิร์ทยังจำคำพูดของคณะกรรมการในวันสอบคัดเลือกมหาวิทยาลัยได้ชัดเจน “…ถึงตอนนี้ผมยังจำได้ชัดอยู่เลย กรรมการบอกว่า ‘ผมให้โอกาสคุณ’ และบอกด้วยว่า ‘ขอให้ตั้งใจเต็มที่กับสิงที่รักต่อไป’ ผมรีบตอบกลับทันทีว่า ‘ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ผมจะไม่ตั้งใจทำ’ เพราะกว่าจะมาถึงตรงนี้ ผมผ่านความพยายามจนรู้แล้วว่าไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ …ต่อจากนี้ทุกโอกาสที่ได้รับ ผมจึงต้องทำให้เต็มที่”

ครั้งแรกของการออดิชัน …จังหวะของการทบทวนตัวเอง

จากเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอุปสรรค เราขอชวนเอิร์ทถอยมาคุยถึงประสบการณ์ใหม่หมาดที่เขาได้รับในฐานะเยาวชนในโครงการ KFC Buket Search ที่ได้ร่วมทดสอบความสามารถ (Audition) ในกิจกรรม Save the Dates Raw & Loud Auditions กับ Warner Music Thailand ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเอิร์ทเล่าว่า “ตื่นเต้นกว่าร้องเพลงบนเวทีต่อหน้าคนเยอะ ๆ อีกครับ เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ลองออดิชันกับค่ายเพลง รู้สึกเกร็งมาก เพราะคนที่กำลังดูเราอยู่คือผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีที่มีประสบการณ์สูง ๆ ทั้งนั้น

“วันนั้นผมเตรียมไปสองเพลง เป็นเพลงที่ซ้อมร้องบ่อย ๆ เพลงหนึ่งเลือกเน้นทักษะการร้อง กับอีกเพลงที่แสดงถึงรากฐานตัวตนของเราคือความชอบในลูกทุ่ง ตอนร้องก็พยายามใส่ความเป็นตัวเอง ใส่กลิ่นลูกทุ่งเต็มที่ อยากพรีเซนต์ความเป็นเราให้มากที่สุดครับ”

เมื่อถามถึงสิ่งที่เขาได้รับมากที่สุดจากประสบการณ์ครั้งนี้ เอิร์ทตอบว่า “ถ้ามองว่าอะไรคือสิ่งที่ได้รับมากที่สุดจากกิจกรรมนี้ ผมว่าคือจังหวะที่เราได้ทบทวนตัวเอง เพราะจากหลายโอกาสที่ได้รับจากการร่วมเวิร์กช็อปต่าง ๆ เกี่ยวกับดนตรี ผมเริ่มแน่ใจว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่ผมอยากเรียนรู้จริง ๆ คืองานเบื้องหลัง โดยเฉพาะงานซาวด์เอ็นจิเนียร์”

“ยิ่งตอนร้องเพลงในห้องที่มองออกมาเห็นเครื่องมือสร้างเสียงแต่งเสียงดนตรีเป็นแผงอยู่ข้างหน้า ผมรู้สึกมีความสุข และคิดว่าอยากทำงานด้านนี้ หลังร้องเพลงจบตอนสัมภาษณ์สั้น ๆ กับทางวอร์เนอร์มิวสิค ผมก็บอกครับว่าเป้าหมายของผมคืองานซาวด์เอ็นจิเนียร์ แต่ตอนนี้ผมร้องเพลงได้ก็จะร้องต่อไป เพื่อเบิกทางไปสู่โอกาสอื่น ๆ”   

นี่คือการทบทวนตัวเองและการตั้งเป้าหมายใหม่ที่ชัดเจนในเส้นทางดนตรีที่เอิร์ทกำลังเดินอยู่ ซึ่งเป็นการก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่จะช่วยเปิดโอกาสในอนาคต

เส้นทางที่มีหลายมือช่วยกันรองรับและผลักดัน

ความรักในดนตรีและการศึกษาเป็นพลังขับเคลื่อนที่ช่วยให้เอิร์ทฟื้นคืนจากช่วงเวลาที่ยากลำบาก พร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่คอยช่วยเหลือในการเติบโต โดยเฉพาะการดูแลและส่งเสริมจากทีมงานสหวิชาชีพที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการสร้างเส้นทางใหม่ให้กับเยาวชนที่เคยประสบปัญหา โดยให้โอกาสในการพัฒนาศักยภาพและทักษะเฉพาะตัว 

คุณนุก ฉัตรสุดา ชูแก้ว นักสังคมสงเคราะห์ปฏิบัติการ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดชลบุรี ได้สะท้อนถึงการทำงานร่วมกันของหลายฝ่ายในการช่วยเอิร์ท โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้เด็กเห็นคุณค่าและค้นพบความสามารถของตัวเอง เช่นเดียวกับเอิร์ทที่มีทักษะด้านการร้องเพลง ซึ่งถูกมองว่าเป็นจุดเด่นที่จะสามารถต่อยอดได้ในอนาคต 

“การที่คนคนหนึ่งจะลุกขึ้นยืนหยัดได้ เขาต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ มีความสามารถอะไร แล้วตัวตนนั้นถึงจะพาไปสู่เส้นทางชีวิตต่อไป ในระหว่างนั้นเราที่เป็นผู้ใหญ่จะเป็นผู้สนับสนุน ไม่ว่าเรื่องการศึกษาหรือการประกอบอาชีพ อย่างเอิร์ทคือมีศักยภาพด้านการร้องเพลง เราก็จะย้ำเตือนให้รู้ว่าเขาทำได้ดีและเป็นต้นทุนที่พัฒนาต่อยอดได้ แล้วจะพยายามหาเครือข่ายหาทรัพยากรมาช่วย เช่นที่ KFC และ กสศ. พาน้องไปร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับดนตรีต่าง ๆ”

การศึกษาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งสถานพินิจฯ ได้ทำงานร่วมกับศูนย์การเรียนเซนต์ยอห์นบอสโก เพื่อจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นรองรับเอิร์ท จนสามารถจบการศึกษาระดับมัธยมปลายได้สำเร็จ และมีโอกาสต่อยอดไปยังการศึกษาระดับสูงในคณะดนตรีตามที่เขาตั้งใจไว้ นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนจากสนามกอล์ฟอมตะสปริงที่ให้เอิร์ทฝึกงานพร้อมกับโอกาสในการพัฒนาทักษะการร้องเพลงที่ช่วยเสริมให้เขามีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น

“เราอยากให้เด็กทุกคนรู้ว่า แม้จะมีเหตุใดก็ตามให้มาอยู่ที่นี่ แต่ชีวิตของเขายังมีโอกาสเสมอ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาที่ถึงเรียนผ่านระบบปกติไม่ได้ แต่มันยังมีรูปแบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและหลากหลายรองรับอยู่เพื่อให้เขาไปต่อได้ และถ้าเขามุ่งมั่นพอ ก็มีคนที่พร้อมสนับสนุน” 

คุณนุก บอกว่าหลังได้วุฒิ ม.6 เอิร์ทเผยความตั้งใจว่าอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะเกี่ยวกับดนตรี เมื่อเห็นว่ามีแรงใจและไฟฝันที่จุดติดแล้ว ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดจึงช่วยกันหาทางวางเส้นทางไปสู่เป้าหมาย ด้วยหวังว่าเอิร์ทจะสามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขารักและเลือกเดินทางได้อย่างมั่นคง

“อย่างที่เคยพูดไว้ว่า เมื่อใครก็ตามค้นพบเส้นทางของตัวเองแล้ว เราจะช่วยหาทางให้เขาก้าวไปข้างหน้า สำหรับเอิร์ทที่อยู่กับเรา เขามีเกณฑ์ประเมินที่ดีในทุกด้าน จึงได้รับโอกาสออกมาใช้ชีวิตก่อนกำหนดโดยมีเวลาเหลืออีกสี่เดือน ก่อนที่จะปล่อยตัว ซึ่งสนามกอล์ฟอมตะสปริงก็ได้มอบโอกาสให้เขาฝึกงาน ในระหว่างนั้นเอิร์ทได้ฝึกซ้อมร้องเพลง และได้ไปแสดงเพลงตามงานต่าง ๆ อีกทั้งยังต้องเตรียมพอร์ตสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยเขามีเวลาเพียงครึ่งปีในการเตรียมตัว ซึ่งครูที่ปรึกษาจะคอยช่วยเหลือในเรื่องเอกสารและติวการสอบต่าง ๆ จนถึงช่วงสุดท้าย

“และวันนี้เมื่อเขาผ่านการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ เราต้องการบอกว่า เส้นทางของเอิร์ทที่มาถึงจุดนี้ไม่ได้เกิดจากเขาคนเดียว แต่เกิดจากความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากหลายมือที่ร่วมกันผลักดันเขา ทุกคนยังคงคอยให้กำลังใจและเฝ้าดูการเดินทางต่อไปของเขา โดยหวังว่าเมื่อเด็กคนหนึ่งได้ทำในสิ่งที่รัก เขาจะพบกับความสุข และสามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้”

“ทุกคนที่ให้โอกาสและสนับสนุน ต้องได้เห็นว่าผมประสบความสำเร็จได้”

จากจุดเริ่มต้นที่ชีวิตของเอิร์ทเคย ‘ว่างเปล่า’ ไม่มีทิศทาง แต่ความรักในดนตรีกลับ ‘ฉุดให้ลุกขึ้น’ และ ‘ผลักดันให้ก้าวเท้าเดินต่อ’ จนถึงวันนี้ที่เขาสามารถ ‘พิสูจน์คุณค่าในตัวเอง’ และ ‘เริ่มต้นใหม่’ ได้อีกครั้ง 

เราอยากรู้ว่าสำหรับเอิร์ทแล้ว ‘ดนตรี’ มีความหมายต่อชีวิตของเขาอย่างไร เอิร์ทตอบทันทีว่าตั้งแต่รู้จักการฟังดนตรีและร้องเพลง โดยไม่ทันรู้ตัวก็พบว่ามันคือเส้นทางเรียนรู้ที่พาเขาไปสัมผัสพานพบโลกรอบตัวในแง่มุมต่าง ๆ และเส้นทางนี้ยังเปลี่ยนแปลงตัวเขาไปในทุก ๆ วัน โดยหนึ่งเรื่องราวที่เอิร์ทบอกว่าจะจารึกไว้ไม่มีวันลืมว่าดนตรีสำคัญต่อชีวิตเขาเพียงใด คือในเวลาที่พลาดพลั้ง เขายังมีดนตรีที่ปลุกปลอบและมอบหวัง เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับสู่เส้นทางการเรียน และบอกเขาเสมอว่ายังมีสิ่งใหม่นานาข้างหน้ารอให้พบเจอ

“ดนตรีจึงแทบจะเป็นโลกทั้งใบสำหรับผม” เอิร์ทย้ำคำนี้อย่างหนักแน่น

เมื่อภารกิจการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จสิ้นแล้ว เราถามถึงเป้าหมายต่อไปของเขา เอิร์ทยิ้มและนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตอบว่า “สำหรับผมตอนนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเกินความคาดหวังแล้วครับ จากนี้ผมจะจดจ่อกับทุกอย่างให้สุดตัวเหมือนที่เคยพูดไว้ ยิ่งผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนเรียนเก่ง ก็ยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้น เพราะสิ่งสำคัญไม่เพียงแค่ความสำเร็จของตัวเอง แต่ยังรวมถึงครอบครัวและคนรอบตัวที่ให้โอกาสและสนับสนุนผม พวกเขาต้องได้เห็นว่าผมประสบความสำเร็จได้”

เอิร์ททิ้งท้ายว่า “ผมอยากให้ความพยายามนี้เป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ที่เคยพลาดพลั้งเหมือนกัน เพื่อที่เราจะสามารถบอกสังคมได้ว่า ความผิดพลาดในวัยหนึ่งไม่ได้หมายความว่าอนาคตของเราไม่สามารถทำสิ่งดี ๆ ได้อีก”

“…เราบางคนแค่เลือกทางผิด หรือบางคนต้องเจอกับขั้นตอนของการเติบโตที่ไม่รู้วิธีรับมือ แต่พวกเราเรียนรู้ได้ เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้ และหากได้รับโอกาส พวกเราก็พร้อมจะเอาสิ่งดี ๆ ในตัวออกมา แล้วแสดงให้เห็นว่ายังมีเส้นทางอนาคตดี ๆ ที่แต่ละคนจะเดินต่อไปได้”