แม่ฮ่องสอน ปฏิบัติการค้นหาเด็กนอกระบบโดยให้ความสำคัญกับข้อมูลที่แม่นยำ ป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน เป็นพื้นที่ที่มีภูมิประเทศห่างไกล ทุรกันดาร และมีอาณาเขตติดกับประเทศเมียนมา เด็กและเยาวชนในหลายพื้นที่มีฐานะยากจนพิเศษ และมีสถิติเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะจากข้อจำกัดด้านการคมนาคม
ด้วยความตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว แม่ฮ่องสอนจึงมุ่งเน้นการค้นหาเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา โดยให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ เพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อนและไม่ให้เด็กตกหล่นจากระบบการช่วยเหลือ ซึ่งสถานการณ์ของเด็กนอกระบบการศึกษานั้นมีความพลวัตสูง เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานและการเปลี่ยนแปลงสถานะอยู่ตลอดเวลา เช่น การย้ายตามครอบครัวไปจังหวัดอื่น ๆ
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งใน 25 จังหวัดนำร่องที่ขับเคลื่อนโครงการ Thailand Zero Dropout และเคยดำเนินการ “ตรวจสอบสถานะเบื้องต้น” (First Screen) เพื่อให้คณะทำงานจากภาคส่วนต่าง ๆ เช่น อบต., ผู้นำท้องถิ่น, ตัวแทนโรงเรียน, ศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ, รพ.สต. และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันตรวจสอบสถานะเด็กในพื้นที่ ซึ่งการดำเนินงานนี้เป็นการเชิญบุคลากรที่ใกล้ชิดกับเด็กและเยาวชนมาเพื่อให้ข้อมูลที่แม่นยำและครบถ้วน
นางสาวรพิชา อนุศักดิกุล นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษา สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เล่าว่า การตรวจสอบสถานะเบื้องต้นถือเป็นการดำเนินการที่สำคัญ เนื่องจากต้องการให้ข้อมูลเด็กและเยาวชนในระบบสาระสนเทศ Thailand Zero Dropout ถูกต้องและไม่เกิดการทำงานซ้ำซ้อน และไม่มีเด็กตกหล่น ซึ่งข้อมูลในระบบสารสนเทศมีจำนวนเด็กและเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาอายุระหว่าง 3-18 ปี จำนวน 16,400 คน
จากการตรวจสอบสถานะเบื้องต้น พบว่าในจำนวนเด็กดังกล่าว ประมาณ 8,000 คน เป็นเด็กที่อยู่ในศูนย์อพยพ 4 แห่ง ซึ่งได้รับการศึกษาภายในศูนย์อพยพแล้ว ดังนั้น จังหวัดแม่ฮ่องสอนจึงได้ทำการตัดเด็กกลุ่มนี้ออกจากบัญชี Thailand Zero Dropout เพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน
จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด พบว่ามีเด็กที่ต้องได้รับการติดตามและค้นหาจำนวน 108 คน ซึ่งคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ได้วางแผนการติดตามและค้นหาเด็กกลุ่มนี้ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมจากคณะทำงานในระดับชุมชนและตำบล เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะของเด็กและเยาวชนได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลเด็ก ซึ่งจะทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของเด็กและเยาวชนถูกต้อง และสามารถออกแบบการช่วยเหลือรายบุคคลด้านการศึกษา ตลอดจนความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับความต้องการและความจำเป็นของเด็กต่อไป