เว็บไซต์ของเราใช้งานคุกกี้เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้สามารถใช้งานได้ดียิ่งขึ้น คุณสามารถเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธการใช้งานคุกกี้ได้ง่ายๆ โดยการดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายคุกกี้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กล่าวปาฐกถาพิเศษ ชื่นชมนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพ “มีความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ยอมจำนนต่อความยากจน”

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กล่าวปาฐกถาพิเศษ ชื่นชมนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพ “มีความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ยอมจำนนต่อความยากจน”

“การลงทุนกับการเรียนการศึกษาเป็นการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ผลตอบแทนดี คุ้มค่า  ความมั่งคั่งของความรู้  ในที่สุดแปลงเป็นเงินได้ทั้งหมด”

“นักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงแต่ละคนมีฐานะทางบ้านยากจนแต่กลับอยากเรียนหนังสือ อยากเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น ถือว่าทุกคนเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะความคิดสร้างสรรค์ คือการไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม และพยายามคิดมุมใหม่ๆ  ที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ทำให้มีเครื่องมือ ซึ่งหมายถึงการศึกษามาช่วยเปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต หาทางทำให้ชีวิตดีขึ้น การตัดสินใจเรียนต่อแม้จะมีฐานะยากจน คือความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่มาก”

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญการลงทุน เจ้าของชีวประวัติในหนังสือเด็กวัดดอน ชีวิต ความฝันและการลงทุน กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานปัจฉิมนิเทศของนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงที่สำเร็จการศึกษาจำนวน  2,603 คน จาก 78 สถานศึกษาทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม  ห้องแซฟไฟร์ 204-205 เมืองทองธานี โดยสรุปสาระสำคัญของปาฐกถาพิเศษ ดังนี้

การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการลงทุนในความรู้

ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า การลงทุนกับการศึกษาคือการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผลตอบแทนสูง และคุ้มค่า ความมั่งคั่งจากความรู้สามารถแปลงเป็นเงินได้ทั้งหมด การศึกษาไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาชีวิต และเปลี่ยนแปลงอนาคตให้ดีขึ้น

การไม่ยอมจำนนต่อความยากจน

ดร.นิเวศน์ได้แสดงความชื่นชมและยกย่องนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงทั้ง 2,603 คน ที่สำเร็จการศึกษา โดยกล่าวว่า ความขยันและความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการประสบความสำเร็จ ซึ่งทุกคนแม้จะมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน แต่กลับเลือกที่จะเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น โดยเห็นว่า การตัดสินใจเรียนหนังสือในสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก เป็นการแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ การที่นักศึกษาทุกคนไม่ยอมแพ้ต่อความยากจนและไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นและใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง

การเลือกเส้นทางการศึกษาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ

ดร.นิเวศน์ยังได้กล่าวถึงการเลือกเรียนในสาขาวิชาที่เป็นเป้าหมายหลักในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเทคโนโลยีดิจิทัล (STEM) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศ ได้แก่ ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ เทคโนโลยีเกษตรนวัตกรรม เมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ ช่างอากาศยาน เทคนิคระบบขนส่งทางราง เทคนิคยานยนต์ไฟฟ้า การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ช่างไฟฟ้ากำลัง ช่างผลิตเครื่องมือและแม่พิมพ์ รวมไปถึงอาหารและโภชนาการ การจัดประชุมและนิทรรศการ จะทำให้ทุกคนมีอนาคตที่สดใสและเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมในด้านต่าง ๆ อย่างมีคุณค่า

การลงทุนในตัวเอง: การเรียนรู้และพัฒนาไม่หยุดยั้ง

ดร.นิเวศน์เล่าถึงการเดินทางของชีวิตตนเอง จากเด็กที่เกิดในครอบครัวยากจน จนก้าวขึ้นมาเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ เป็นการเริ่มต้นจากพื้นฐานที่ท้าทาย แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียรและการยึดมั่นในการศึกษาจึงทำให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้อย่างมากมาย

“ตัวผมเองมาจากครอบครัวที่ยากจน พ่อแม่ของผมอพยพมาจากเมืองจีน พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ เลี้ยงชีพด้วยการทำงานเป็นลูกจ้างรายวัน ทำงานก่อสร้าง มีรายได้ไม่แน่นอน และไม่ได้เรียนหนังสือเลย พ่อแม่ของผมมีลูก 3 คน มีผมเป็นลูกคนสุดท้อง ผมเป็นคนเดียวของครอบครัวที่ได้เรียนหนังสือ

“แม้จะมีโอกาสได้เรียนหนังสือ แต่ครอบครัวของผมได้วางเงื่อนไขเรื่องการเรียนไว้ว่า จะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนหลวง ซึ่งก็คือโรงเรียนรัฐบาลที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเรียน จบชั้นประถมจะขึ้นชั้นมัธยม ถ้าสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลไม่ได้ก็ต้องเลิกเรียน เพราะทางบ้านไม่มีทุนส่งเสียให้เข้าเรียน

“โอกาสทางการศึกษาของผม มีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องเรียนให้เก่ง ไต่เต้าขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วยลำแข้งของตัวเอง เรียนในที่ที่ไม่ต้องเสียตังค์ เพราะสมัยก่อน ไม่มีทุนสนับสนุนเหมือนสมัยนี้ ต้องพยายามอย่างไม่ลดละ และอยู่ในเงื่อนไขนี้จนกระทั่งจบเรียนจบปริญญาเอก”

ดร.นิเวศน์เล่าว่า ความขยันหมั่นเพียรอย่างไม่ลดละ และความเอาใจใส่ในการเรียนทำให้ตนสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นคณะวิชาและมหาวิทยาลัยที่สอบเข้ายาก เพราะมีการแข่งขันสูง 

หลังจากเรียนจบ แม้ว่าเขาจะได้รับโอกาสในการทำงานที่ดีในตำแหน่งวิศวกรที่โรงงานน้ำตาล แต่เขาก็เลือกที่จะทำงานในต่างจังหวัด เพราะเห็นโอกาสในการเก็บประสบการณ์และสะสมเงินที่สามารถนำไปลงทุนในอนาคต เพราะนอกจากเงินเดือนแล้ว ยังมีค่าล่วงเวลา มีอาหาร และที่พักที่บริษัทจัดหาให้

การลงทุนที่ ดร.นิเวศน์พูดถึง ไม่ใช่แค่การลงทุนในตลาดหุ้น แต่เป็นการลงทุนในการศึกษาต่อระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ด้วยเชื่อว่า ความขยันและการหาความรู้เพื่อพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งในชีวิต

“โอกาสที่เราจะเจริญรุ่งเรืองคือต้องลงทุน ลงทุนที่ว่าไม่ใช่การลงทุนกับตลาดหุ้น แต่เป็นการทำอะไรที่ต้องทุ่มเทลงไปก่อน และคิดว่าต้องลงทุนแบบที่ไม่ต้องใช้เงิน นั่นคือการลงทุนกับการเรียนการศึกษา ถือเป็นการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ผลตอบแทนดี คุ้มค่า  ความมั่งคั่งนั้นมีหลายแบบ ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทองเท่านั้น บางครั้งก็หมายถึงความมั่งคั่งของความรู้ ซึ่งหากเป็นความรู้ที่สามารถนำไปใช้พัฒนาศักยภาพการทำงานของตัวเองให้เจริญก้าวหน้าได้ ในที่สุดความมั่งคั่งนี้ ก็สามารถแปลงกลับมาเป็นเงินได้ทั้งหมด

“ผมตระหนักว่า ถ้าเรามีศักยภาพในการทำงานน้อย ไม่คำนึงถึงการพัฒนาในส่วนนี้ ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่า ผลตอบแทนที่ได้จากการทำงานก็จะน้อยลงตามไปด้วย การเรียนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สิ่งที่ผมยังยึดมั่นอย่างต่อเนื่อง คือเรื่องของความขยัน ทั้งตั้งใจทำงานและตั้งใจหาความรู้อยู่เสมอ มีเงินเก็บจากการทำงาน บางส่วนส่งให้ที่บ้าน และบางส่วนถูกนำไปลงทุน ซึ่งการลงทุนที่ว่า คือ การศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก”

คิดสร้างสรรค์เพื่อความสำเร็จ

ดร.นิเวศน์ได้ฝากข้อความที่สำคัญถึงนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพทุกคน ว่าการประเมินและพัฒนาความสามารถของตัวเองอยู่เสมอเป็นสิ่งที่จำเป็นในการเติบโต และต้องพร้อมที่จะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อให้สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในทุกสถานการณ์

ในยุคที่เทคโนโลยีและ AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ทุกคนต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเองให้มีทักษะสูงขึ้น และยอมรับความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ตัวเองสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานได้

“ความขยันทำให้ผมก้าวหน้าไปได้เยอะมาก แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญเช่นกัน คือการหาความรู้ให้เท่าทันโลก เราต้องเก่ง ต้องขยันและฉลาด ถึงจะอยู่รอดในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน เข้ามาแย่งงานคน ในส่วนงานที่ทำซ้ำ ๆ และเป็นระบบอัตโนมัติ งานที่ใช้กระบวนการเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เช่น อาชีพล่ามแปลภาษา การผลิตในโรงงาน การคีย์ข้อมูล และงานบริการลูกค้าบางประเภท งานเหล่านี้และงานอีกหลายประเภทเสี่ยงที่จะถูกแทนที่ด้วย AI 

“คนที่สามารถปรับตัวและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ จะมีโอกาสอยู่ในตลาดแรงงานต่อไป แต่คนที่ไม่ปรับตัวอาจจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ และเมื่อทำงานไปสักระยะหนึ่ง เราจะพบสัจธรรมที่ว่า ความขยันอาจจะไม่ทำให้เราก้าวหน้ามาก ตัวผมเคยประสบเหตุการณ์ ด้วยการถูกเชิญออกจากงานในวัย 44 ปี จากผลกระทบของวิกฤตต้มยำกุ้ง ตกงานพร้อมด้วยภาระครอบครัวจากการมีลูกที่ยังเรียนและภรรยาที่ต้องดูแล ทำให้ต้องวางแผนชีวิตใหม่ เพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด นั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต ต้องพบว่าอุปสรรคกำลังบังคับให้ผมคิดอะไรใหม่ ๆ จึงเลือกมาเป็นนักลงทุน และพบว่าเมื่อเลือกในสิ่งที่เหมาะสมกับความสามารถและความตั้งใจที่มี ความสำเร็จก็จะตามมาในที่สุด”

ในตอนท้ายของการกล่าวปาฐกถาพิเศษ ดร.นิเวศน์ได้ยกย่องนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงที่ทุกคนมีฐานะทางบ้านยากจน แต่กลับมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง โดยมองว่า การตัดสินใจเรียนในสถานการณ์ที่ยากลำบากเป็นการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะการคิดในมุมใหม่และพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่มีเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

“สิ่งที่อยากฝากให้นักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงทุกคนนำกลับไปคิด คือเรื่องการประเมินความสามารถของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้เท่าทันโลกเพื่อให้ตัวเองดีขึ้น เคล็ดลับของผม คือการพยายามเพิ่มความสามารถขึ้นทีละน้อยแต่สม่ำเสมอ บอกกับตัวเองว่าต้องดีขึ้น ทีละเล็กทีละน้อยก็ไม่เป็นไร แต่ต้องไม่แย่ลง ต้องเป็นนักเลือกที่ดี เลือกให้ถูกต้องว่าจะทำอะไร สิ่งที่ทำต้องช่วยให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้น หากหาวิธีที่ทำให้มีความสามารถเพิ่มขึ้นทุกปี พยายามค้นหาจุดแข็งของตัวเองให้ได้ แม้จะต้องเริ่มทำในบางสิ่งใหม่แต่หากสิ่งนั้นเหมาะสมและช่วยสร้างจุดแข็งให้ตัวเองได้ก็ต้องทำ อย่าไปกลัวความเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็จะประสบความสำเร็จ”

“นักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงแต่ละคนมีฐานะทางบ้านยากจนแต่กลับอยากเรียนหนังสือ อยากเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น ถือว่าทุกคนเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะความคิดสร้างสรรค์ คือการไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม และพยายามคิดมุมใหม่ๆ  ที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ทำให้มีเครื่องมือ ซึ่งหมายถึงการศึกษามาช่วยเปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต หาทางทำให้ชีวิตดีขึ้น การตัดสินใจเรียนต่อแม้จะมีฐานะยากจน คือความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่มาก” ดร.นิเวศน์กล่าว

อ่านข่าว : เรียนจบแล้ว นศ.ทุน กสศ. 2,603 คน ตอบโจทย์แรงงานทักษะสูงขาดแคลน กสศ.ชี้ลงทุนคุ้มค่าเทียบหุ้น Super Stock สร้างคนเก่ง และมีใจทำประโยชน์เพื่อสังคม