![Banner](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/05/banner15.jpg)
จากจุดเริ่มต้นที่อยากให้นักเรียนในพื้นที่ได้บริโภคอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ ซึ่งนอกจากเนื้อสัตว์ต้องสะอาดแล้ว พืชผักที่นำมาประกอบอาหารก็ควรปลอดภัย ไร้สารเคมีเช่นกัน วันนี้จุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ได้ผลิดอกออกผลจนงอกงาม เนื่องจากคนในตำบลหนองสนิท จังหวัดสุรินทร์ หันมาปลูกผักอินทรีย์จนสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนได้ และยังก่อให้เกิดกลุ่ม ‘สหกรณ์การเกษตรพืชผักเกษตรอินทรีย์หนองสนิท จำกัด’ ที่ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้คนในและนอกชุมชนได้บริโภคอีกด้วย
โดย สมเกียรติ สาระ หัวหน้าสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิท อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์ เล่าว่า “ในพื้นที่ตำบลหนองสนิท คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา เมื่อหมดหน้านาก็ปลูกข้าวโพด เพราะมีรายได้ดี แต่การปลูกให้ปลอดภัยทำได้ยาก เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมใช้สารเคมี จึงอยากปรับเปลี่ยนการทำเกษตรให้ปลอดภัยมากขึ้น”
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/05/blog_small_15-02-1024x1024.jpg)
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2021/05/blog_small15-01-1024x1024.jpg)
สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ สมเกียรติ ระบุว่า มีจำนวน 80 คน ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ และกลุ่มสตรีแม่บ้าน “โดยสัดส่วนของกลุ่มสตรีแม่บ้านจะมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ออกไปทำงานนอกหมู่บ้านไม่ได้ เพราะมีภาระต้องดูแลครอบครัว” ซึ่งสมเกียรติย้ำว่า โครงการนี้จะต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายมีอาชีพมั่นคง สุขภาพดี และที่สำคัญคือต้องมีรายได้ทุกวัน
ซึ่งการจะไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น ต้องอาศัยกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ เริ่มจากการให้ทุกคนวาดรูปตัวเองและเป้าหมายชีวิต ทั้งรายได้และประเภทของผักที่ต้องการปลูกลงสมุด เพื่อดูว่าพวกเขาต้องการเรียนรู้อะไร หลังจากนั้นจึงพาไปดูงานด้านการปลูกผักอินทรีย์ เพื่อศึกษาวิธีการบริหารจัดการในรูปแบบสหกรณ์ การวางแผนปลูก การตลาด และการรวมกลุ่ม ฯลฯ ซึ่งการดูงานส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายอยากปลูกผักอินทรีย์เพื่อจำหน่ายมากขึ้น
ข้อมูลที่ได้จากกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ ถูกนำมาใช้ออกแบบหลักสูตรการปลูกผักอินทรีย์ จำนวน 10 วัน ซึ่งมีทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยมีวิทยากรจากปราชญ์ชุมชน, อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสุรินทร์ และศูนย์วิจัยเกษตรจังหวัดสุรินทร์ เข้ามาช่วยดูแล ที่สำคัญคือมีการประสานกับหน่วยงานเอกชนอย่าง Tops Supermarket ที่เข้ามาช่วยแนะแนวองค์ความรู้เรื่องบรรจุภัณฑ์ การเก็บรักษา การตัดแต่ง และการบรรจุ ซึ่งทางหน่วยงานก็ได้ประสานการนำผลิตภัณฑ์ไปจัดจำหน่ายในพื้นที่ซุปเปอร์มาเก็ตต่อไปด้วย
เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ไม่มีพื้นที่ทำกินกว้างขวาง อบต. หนองสนิทจึงจัดสรรพื้นที่สาธารณะจำนวน 9 ไร่ ให้กลุ่มเป้าหมายใช้ปลูกผักร่วมกัน ซึ่งก่อนการลงมือปลูกก็ได้มีการลงไปสำรวจความต้องการพืชผักของตลาด เช่น ร้านอาหารและร้านค้าในพื้นที่ จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นผัก 6 ชนิด ได้แก่ คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ต้นหอม และขึ้นฉ่าย
“ภาพที่เห็นชินตาตอนนี้คือ ทุกวันเวลาประมาณตี 4 ผู้สูงอายุหลายคนจะมีความสุขอยู่กับการดูแลแปลงผัก ขณะที่กลุ่มแม่บ้านก็ผลัดเปลี่ยนกันมาบรรจุผักส่ง Tops Supermarket, โรงพยาบาล, โรงเรียน, และร้านหมูกระทะ ซึ่งระหว่างนั้นก็จะมีแม่บ้านนำผักใส่ตะกร้า ทั้งผักบุ้งและคะน้าที่ปลูกในแปลงหลังบ้าน มาส่งให้กลุ่มอยู่เป็นระยะๆ” สมเกียรติ เล่าด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
เมื่อชาวบ้านเห็นว่าการปลูกผักอินทรีย์ไม่ยาก และสร้างรายได้ สร้างอาชีพได้จริง ทำให้มีคนอยากเข้ามาเป็นสมาชิกของสหกรณ์เพิ่มขึ้น จาก 80 คน เป็น 102 คน ซึ่งทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นอกจากจะได้ทำงานและได้ดูแลครอบครัวแล้ว ยังมีสุขภาพดีอีกด้วย
มัณทนา พวงจันทร์ หนึ่งในกลุ่มเป้าหมาย ที่หลังจากได้รับความรู้แล้ว เปลี่ยนบทบาทจากกลุ่มเป้าหมายมาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แทน เล่าว่า เธอภูมิใจมากที่ตัวเองสามารถถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นได้ “และดีใจที่ทำให้คนในหมู่บ้านหันมาปลูกผักอินทรีย์ โรคความดันและเบาหวานจะได้ลดลง บางคนแค่เดินออกมาที่แปลงผัก ก็ได้เงินให้ลูกหลานไปโรงเรียนแล้ว”
ในขณะที่ แสงดาว พวงจันทร์ ประธานกลุ่มธนาคารผัก เสริมว่า เธอเคยทำงานโรงงานมาก่อน หลังจากนั้นก็ลาออกมาทำนาที่บ้าน ช่วงนั้นเหมือนชีวิตไม่ค่อยมีคุณค่า เพราะทำนาอย่างเดียว เวลาว่างก็จับกลุ่มคุยกัน ไม่มีงานอื่นทำ แต่เมื่อได้เข้าร่วมโครงการนี้ ได้มาเจอเพื่อน แม้จะต้องตื่นตี 3 เพื่อรีบทำงานบ้านให้เสร็จ ตี 4 จะได้ออกมาเก็บผัก ก็ทำให้เธอมีความสุขมากขึ้น
“ตอนนั้นในหมู่บ้านไม่มีงานให้ทำ เราก็ต้องดิ้นรนออกไปหางานทำข้างนอก เพื่อจะได้มีเงินมาจุนเจือครอบครัว แต่โครงการนี้ทำให้เราไม่ต้องออกไปนอกพื้นที่ ขายผักอย่างน้อยก็ได้วันละ 100 บาท ให้ลูกไปโรงเรียน 40 บาท ก็มีเงินเหลือเก็บ แถมยังได้ผักไปทำกับข้าวโดยที่เราไม่ต้องซื้อ และยังทำให้สุขภาพดีอีกด้วย เป็นการทำงานที่สนุกและได้เรียนรู้เยอะมาก”
เรียกได้ว่า จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการให้นักเรียนในพื้นที่ได้บริโภคอาหารปลอดภัย และเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนในชุมชน วันนี้ แปลงผักอินทรีย์เล็กๆ ในพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่ข้างบ้านของคนในชุมชน ได้กลายเป็นแปลงผักขนาดใหญ่ที่คนทั้งตำบลหันมาร่วมไม้ร่วมมือกันผลิต จนเกิดเป็น ‘สหกรณ์การเกษตรพืชผักเกษตรอินทรีย์หนองสนิท จำกัด’ และกลายเป็น ‘พื้นที่ต้นแบบ’ ด้านการปลูกผักอินทรีย์ของจังหวัดสุรินทร์ในที่สุด
“ตอนนั้นในหมู่บ้านไม่มีงานให้ทำ เราก็ต้องดิ้นรนออกไปหางานทำข้างนอก เพื่อจะได้มีเงินมาจุนเจือครอบครัว แต่โครงการนี้ทำให้เราไม่ต้องออกไปนอกพื้นที่ ขายผักอย่างน้อยก็ได้วันละ 100 บาท ให้ลูกไปโรงเรียน 40 บาท ก็มีเงินเหลือเก็บ แถมยังได้ผักไปทำกับข้าวโดยที่เราไม่ต้องซื้อด้วย” แสงดาว พวงจันทร์ ประธานกลุ่มธนาคารผัก หนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของโครงการ
เกี่ยวกับโครงการเบื้องต้น
พัฒนาศักยภาพเกษตรกรในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร
องค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิท
- โทร: 089-2813157
- ผู้ประสานงาน: นายสมเกียรติ สาระ
เป้าประสงค์
สร้างโอกาสที่เสมอภาคของแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสให้ได้รับการพัฒนายกระดับฝีมือแรงงานที่มีคุณภาพ
- เกิดคณะทำงานด้านการส่งเสริมอาหารปลอดภัย
- เกษตรกรมีความรู้ทักษะในการผลิตอาหารปลอดภัย
- ผลผลิตของเกษตรกรมีคุณภาพและสามารถจำหน่ายได้โดยเชื่อมกับเมนูอาหารกลางวันของโรงเรียน
- เกิดพื้นที่ต้นแบบด้านการผลิตอาหารปลอดภัย
เรื่องราวนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาระบบทดลองการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
กว่า 74 หน่วยงาน 42 จังหวัด กับ 1 เป้าหมายเพื่อสร้างชุมชนที่มีศักยภาพ ด้วยการพัฒนาทักษะอาชีพแก่แรงงานด้อยโอกาส