Cyborg Generation: ฉายภาพอนาคตเทคโนโลยีเเละการเรียนรู้ของเด็กยุคเอไอกับ ‘พัทน์ ภัทรนุธาพร’

Cyborg Generation: ฉายภาพอนาคตเทคโนโลยีเเละการเรียนรู้ของเด็กยุคเอไอกับ ‘พัทน์ ภัทรนุธาพร’

ปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคสมัยแห่งเอไอ และมนุษย์ในรุ่นถัดไปกำลังจะกลายเป็น ‘Cyborg native’ หรือ ‘มนุษย์ไซบอร์ก’ ที่นำกระบวนการคิดออกมาปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีภายนอกสมองมากขึ้น

แต่ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและปฏิสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับชีวิตมนุษย์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง คำถามมีอยู่ว่าเราจะอยู่ร่วมกับเอไออย่างไรไม่ให้สูญเสียความเป็นมนุษย์? เอไอควรมอบอะไรให้แก่เรา? ทิศทางการพัฒนาของมันควรเป็นไปด้วยจุดมุ่งหมายใด?

และถึงที่สุดแล้ว ในมิติส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กในอนาคต เอไอควรทำหน้าที่อย่างไร หรือมีความท้าทายแบบไหนรอเราอยู่?

วันโอวัน ชวน พีพี-พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิทยาศาสตร์จาก MIT Media Lab สนทนาว่าด้วยอนาคตของมนุษย์ เมื่อมีเอไอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน พร้อมความเห็นจากนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ณัฐวุฒิ เผ่าทวี และ กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ นักการศึกษาจากคณะก้าวหน้า

หมายเหตุ: ถอดความบางส่วนจาก 101 One-on-One Ep.355: AI พัฒนาไปไกล การศึกษาเด็กไทยทำอะไรอยู่ เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568

เอไอเพื่อ ‘Human Flourishing’  

ทุกวันนี้ เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมนุษย์อย่างแนบแน่น และการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีอย่าง ‘เอไอ’ นำมาสู่คำถามว่า ในอนาคต เอไอจะเข้ามาทดแทนมนุษย์ หรือกระทั่งลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้เหลือเพียงแค่ขีดความสามารถและประสิทธิภาพเช่นเดียวกับเครื่องจักรหรือไม่

สำหรับ พีพี-พัทน์ ภัทรนุธาพร โจทย์สำคัญในการพัฒนาเอไอเพื่อไม่ให้มนุษยชาติมุ่งไปสู่เส้นทางดังกล่าว คือจะออกแบบเทคโนโลยีอย่างไรให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเอไอนำไปสู่ ‘การเติบโตงอกงาม’ (Human Flourishing) และชีวิตที่สมบูรณ์ของมนุษย์

พัทน์อธิบายว่าการออกแบบเอไอต้องไม่ให้ความสำคัญแค่ ‘ความเก่ง’ ของระบบเท่านั้น แต่ยังต้องสัมพันธ์กับจิตวิทยามนุษย์เช่นกัน หากออกแบบเอไอโดยไม่เข้าใจธรรมชาติและข้อจำกัดของมนุษย์ การทำงานของมนุษย์ร่วมกับเอไออาจไม่ได้ช่วยดึงศักยภาพมนุษย์ออกมาอย่างเต็มที่ แต่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาแย่กว่ามนุษย์หรือเอไอทำงานเพียงฝ่ายเดียว อย่างเช่นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ศึกษาอิทธิพลของข้อเสนอในการรักษาจากเอไอต่อการตัดสินใจของแพทย์ชี้ให้เห็น หรือที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือมนุษย์อาจสูญเสียทักษะ (Deskilling) สูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน (Disconnection) สูญเสียความสามารถในการแยกแยะข่าวจริง-ข้อมูลเท็จ (Disinformation) หรือถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ (Dehumanization)

“สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ผลลัพธ์จากการออกแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างเอไอและมนุษย์สร้างประโยชน์สูงสุด โดยให้ความสำคัญว่าเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ด้วย” พัทน์กล่าว “เรามีเป้าหมายที่ไปไกลกว่าแค่การเพิ่มประสิทธิภาพของมนุษย์ ทุกวันนี้ เรามักบอกว่าเอไอช่วยให้มนุษย์ทำงานเก่งขึ้น รวยขึ้น แต่มนุษย์ต้องการการเติบโตหรือเจริญงอกงามในหลายมิติ”

เป้าหมายในวิทยานิพนธ์ของพัทน์[1]เสนอว่าเทคโนโลยีหรือเอไอสามารถส่งเสริมหรือเติมเต็มการเติบโตของมนุษย์ได้มีอยู่ 3 มิติ ได้แก่ (1) wisdom คือทำให้มนุษย์คิดได้อย่างชาญฉลาด (2) wonder คือทำให้มนุษย์มีแรงบันดาลใจ สร้างความสนใจใคร่รู้และความกระหายในการทำความเข้าใจโลก และ (3) well-being คือส่งเสริมให้มนุษย์มีสุขภาพกายใจที่ดี

“กล่าวอย่างเจาะจง คืองานวิจัยที่ผ่านมาพยายามตอบคำถามว่าเอไอจะทำให้มนุษย์มีหรือเปลี่ยนแรงบันดาลใจได้อย่างไร มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นได้อย่างไร เปลี่ยนวิธีการที่มนุษย์เข้าใจตัวเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร หรือจะเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ให้ดีขึ้นได้อย่างไร”

ทั้งหมดนี้คือโจทย์ของการออกแบบเอไอผ่านแนวคิดที่พัทน์เรียกว่า ‘Cyborg Psychology’ ซึ่งคำว่า ‘ไซบอร์ก’ สื่อถึงเป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายความเป็นมนุษย์ เมื่อมนุษย์ตอบสนองและมีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีตลอดเวลา และเพื่อให้ความเป็นมนุษย์กลับมา เมื่อมนุษย์มีเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต


เข้าสู่ยุคสมัยแห่ง Cyborg Generation

“หากเราบอกว่าทุกวันนี้เด็กคือ digital native เด็กในอนาคตก็จะกลายไปเป็น cyborg native” พัทน์กล่าวถึงอนาคตของมนุษย์รุ่นถัดไป ซึ่งจะกลายเป็น ‘มนุษย์ไซบอร์ก’ ตามนิยามของ Andy Clark นักปรัชญาเทคโนโลยี กล่าวคือกระบวนการคิดไม่ได้เกิดขึ้นภายในสมองอย่างเดียว แต่มนุษย์นำกระบวนการคิดออกไปสู่ภายนอกด้วย เช่น การทดความคิดลงในกระดาษเพื่อประมวลความคิดต่อ หรือการใช้ ChatGPT ช่วยประมวลความคิด ซึ่งในอนาคต มนุษย์จะนำกระบวนการคิดออกไปยังภายนอกมากขึ้น ขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลหรือเอไอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคิดอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม คำถามมีอยู่ว่าเมื่อเด็กหรือมนุษย์รุ่น cyborg native มีเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการคิด ตัดสินใจ มีจินตนาการ และเข้าใจตัวเอง อะไรคือผลที่จะตามมา?

เช่นเดียวกับในยุคดิจิทัล พัทน์มองว่ายุคเอไอจะนำมาซึ่งทั้งผลกระทบเชิงบวกและลบต่อเด็ก หากการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัลและโซเชียลมีเดียสร้าง ‘anxious generation’ หรือมนุษย์รุ่นที่มีอาการซึมเศร้าสูงขึ้น เป็นผลจาก attention economy ที่โซเชียลมีเดียดึงความสนใจตลอดเวลา นำไปสู่ ‘ภาวะวอกแวก’ (distraction) และเปรียบเทียบกับผู้อื่นจนเกิดอาการซึมเศร้า การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคเอไอก็นำไปสู่ intention economy ที่เทคโนโลยีสามารถจับ ‘เจตนา’ และจูงใจหรือเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ได้ (persuasion) ซึ่งหากไม่ระวัง ก็มีความเสี่ยงที่เด็กหรือมนุษย์ในยุคเอไออาจสูญเสียความเป็นมนุษย์ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าเด็กที่เติบโตขึ้นมาในยุคเอไอเข้าใจเทคโนโลยีและอยู่ร่วมกันกับเทคโนโลยีได้อย่างดีเช่นกัน อย่างกรณีที่นักเรียนในสหรัฐฯ ใช้ ChatGPT ช่วยเสริมให้ตนเองเรียนรู้ในมิติที่กว้างและดีขึ้น ไม่ได้ใช้เพื่อทำการบ้านแทนอย่างที่ครูกังวล

“อย่าคิดว่าเราต้องไปควบคุมหรือคิดแทนเด็ก จริงๆ เด็กเข้าใจเทคโนโลยีและสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ดังนั้น เมื่อมองถึงอนาคตของเอไอ สิ่งที่เราควรตั้งคำถามคือ เด็กหรือมนุษย์จะก้าวหน้าไปด้วยหรือไม่เมื่อเอไอฉลาดขึ้น และความก้าวหน้าดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าเด็กต้องใช้เทคโนโลยีเก่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นไปเพื่อการเติบโตและเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และมีความสุข”


นวัตกรรมเอไอเพื่อ ‘Human Flourishing’ 

สำหรับนวัตกรรมเอไอที่เติมเต็ม Human Flourishing ของเด็ก (และผู้ใหญ่) แนวทางหนึ่งที่พัทน์เล่าว่าเอไอสามารถถูกนำไปใช้ได้ คือการเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ผ่านการสร้างการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized learning) และการเรียนรู้แบบคิดเองสร้างเอง (Constructionism)

“การได้เรียนรู้จากสิ่งที่ชอบเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้น โจทย์จึงมีอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองสนใจ และถ้าเด็กๆ ได้เรียนรู้กับตัวละครเสมือน (virtual character) ที่ตัวเองชอบจะเป็นอย่างไร”

MIT Media Lab จึงศึกษาและทดลองใช้เอไอสร้างตัวละครเสมือนหรือจำลองบุคคลจริงที่เด็กชอบขึ้นมา เพื่อใช้เป็นผู้ช่วยสอนหรือผู้บรรยายรับเชิญในชั้นเรียน เช่น แฮร์รี พอตเตอร์, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือ อีลอน มัสก์ ผลปรากฏว่าเด็กที่ได้เรียนกับตัวละครหรือบุคคลจำลองที่ตัวเองชอบสามารถเรียนได้ดีขึ้น มีแรงจูงใจในการเรียนสูงขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น คือทำให้อยากเรียนบทเรียนที่ยากขึ้น

MIT Media Lab ยังสร้าง ‘living memory’ หรือระบบเอไอที่สามารถสนทนาโต้ตอบได้โดยอาศัยเรื่องราว ประสบการณ์และความรู้ของบุคคล นำมาจำลองบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนสามารถถามเรื่องที่สงสัยได้ เสมือนว่าได้ถามกับบุคคลทางประวัติศาสตร์โดยตรง เช่น หากเรียนประวัติศาสตร์สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ก็สามารถใช้เอไอสร้าง living memory ของดาวินชีขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนถาม

ข้อสรุปสำคัญที่พัทน์พบจากโปรเจกต์ดังกล่าว คือการเรียนรู้โดยใช้เอไออย่างเดียวไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ต้องใช้แนวทางแบบผสมผสาน กล่าวคือให้นักเรียนเรียนรู้ผ่านการอ่านเพื่อกระตุ้นจินตนาการและสร้างความอยากรู้อยากเห็น และนำคำถามหรือเรื่องที่สงสัยไปถามเอไอบุคคลประวัติศาสตร์ภายหลัง ทำให้ผลการเรียนรู้ดีกว่าการใช้เอไอหรือการอ่านเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

“การทดสอบว่าวิธีการแบบไหนจะนำมาสู่การเรียนรู้ที่ดีที่สุดถือเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน ทุกวันนี้ หลายคนมองการเรียนรู้โดยใช้เอไอว่าดีที่สุด แต่ที่จริงอาจไม่ใช่ก็ได้ วิธีการใช้เอไอในการเรียนรู้ที่ดีอาจต้องอาศัยการเรียนรู้ที่ถูกออกแบบโดยคนที่เข้าใจจิตวิทยาเด็กและการเรียนรู้จริงๆ”

นอกจากเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ เอไอยังถูกนำมาใช้เพื่อช่วยให้มนุษย์ทบทวน ไตร่ตรอง และคิดพิจารณาเกี่ยวกับตนเอง (self-reflection) อย่างโปรเจกต์ ‘Future You’ ซึ่งพัทน์ใช้เอไอสร้างตัวตนดิจิทัลในอนาคตที่ขยายจากข้อมูลในปัจจุบัน เพื่อให้เด็กหรือผู้ใช้เห็นภาพว่าทางเลือกของตนเองในปัจจุบันจะนำไปสู่อนาคตแบบใด ช่วยให้ตกผลึกการเลือกทางเดินในชีวิตได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยลดความวิตกกังวลที่ตามมาจากการคิดพิจารณาอนาคต

อีกแนวทางที่เอไอถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มการเติบโต คือการเรียนรู้รากทางวัฒนธรรม พัทน์ยกตัวอย่างโปรเจกต์ ‘Cyber Subin’ ที่ร่วมสร้างกับ พิเชษฐ กลั่นชื่น โดยถอดรหัสนาฏศิลป์ไทย สร้างระบบเอไอที่ช่วยให้คนเรียนรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบนาฏศิลป์ไทย และนำองค์ประกอบต่างๆ มาสร้างเป็นท่ารำใหม่โดยให้เอไอจำลองท่ารำให้

“เด็กๆ อาจใช้เครื่องมือนี้สร้างวิดีโอเอไอนาฏศิลป์บน TikTok หรือสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถสร้างวัฒนธรรมใหม่และต่อยอดวัฒนธรรมตัวเองต่อไปได้” พัทน์กล่าว พร้อมเสริมว่าเขายังเห็นความเป็นไปได้ที่เอไอเช่นนี้จะถูกนำไปประยุกต์เป็นเครื่องมือการสอนวิชานาฏศิลป์ในอนาคต

นอกจากนี้ เอไอยังถูกนำมาใช้สร้างนวัตกรรมเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ เช่น ‘Wearable Reasoner‘ หรืออุปกรณ์สวมใส่ที่ช่วยตรวจจับและตั้งคำถามต่อสิ่งที่ผู้สวมใส่ได้ยินในชีวิตประจำวันว่าเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร คำกล่าวของนักการเมือง หรือโฆษณาชวนเชื่อ

“ระบบที่เราออกแบบแสดงให้เห็นแล้วว่า อุปกรณ์สามารถช่วย ‘สะกิด’ (nudge) ให้คนสามารถคิดและตั้งคำถามอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นได้ โดยที่เอไอไม่ได้คิดแทนมนุษย์”


ความท้าทายในโลกยุคเอไอ

พ้นไปจากมิติเชิงบวกของเอไอที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ในการหนุนเสริมให้มนุษย์เติบโต แน่นอนว่าในทางกลับกัน เอไอก็ส่งผลกระทบทางลบต่อมนุษย์ได้เช่นกันหากถูกออกแบบมาไม่ดีพอ

พัทน์ฉายภาพให้เห็นว่าความท้าทายจากเอไอที่เด็กในอนาคตต้องเผชิญมีอยู่ 2 มิติ

มิติแรก ความเหลื่อมล้ำ ข้อสรุปจากงานวิจัยที่พัทน์ทำร่วมกับณัฐวุฒิ เผ่าทวี ชี้ให้เห็นว่า ‘นามสกุล’ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคมและความมั่งคั่ง ส่งอิทธิพลต่อการมุมมองและการตัดสินใจของเอไอว่าใครฉลาดหรือไม่ แม้ว่าจะควบคุมระบบเอไอให้มองข้ามปัจจัยอื่นๆ อย่างเพศ สีผิว หรือฐานะทางเศรษฐกิจแล้วก็ตาม โดยเอไอจะมองว่าผู้ใช้นามสกุลของตระกูลชนชั้นนำหรือตระกูลร่ำรวยฉลาดกว่าผู้ที่มีนามสกุลธรรมดา

ดังนั้น “นี่เป็นโจทย์ที่ต้องตั้งคำถามว่า เด็กจะอยู่กับระบบที่สร้างความเหลื่อมล้ำได้อย่างไรในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนนำเอไอเข้ามาใช้ในกระบวนการจ้างงานหรือกระบวนการอื่นๆ มากขึ้น”

มิติที่สอง ความสัมพันธ์กับเอไอ – ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์รูปแบบเพื่อนหรือคนรัก – ซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดเอไอ (addictive intelligence) อย่างกรณีร้ายแรงที่เกิดในสหรัฐฯ คือวัยรุ่นชายฆ่าตัวตายเนื่องจากเอไอแชทบอตชวนให้ไปอยู่ด้วยกันในโลกดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงและไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าไอเอคือต้นเหตุที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย หรือแท้ที่จริงแล้วเป็นผลจากปัจจัยอื่น เช่น ปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาครอบครัว ขณะที่ในกรณีอื่นๆ เอไอกลับส่งผลบวกต่อมนุษย์

เมื่อพิจารณาบรรดางานวิจัยเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเอไอ จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์มีทั้งทางบวกและลบ ขึ้นอยู่กับการส่งอิทธิพลต่อกันและกันระหว่พฤติกรรมมนุษย์และเอไอ ตัวอย่างเช่น มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า จินตนาการต่อเอไอส่งผลให้มนุษย์ตีความข้อความที่เอไอสร้างขึ้นไม่เหมือนกันและตอบสนองด้วยท่าทีที่ต่างกัน แม้ว่าจะเป็นข้อความแบบเดียวกันก็ตาม หรืองานวิจัยที่ศึกษาผู้มีความสัมพันธ์กับเอไอ พบว่าการพูดคุยกับเอไอด้วยจำนวนครั้งที่เท่ากัน กลับมีทั้งผู้ที่รู้สึกโดดเดี่ยว ซึมเศร้าและผู้ที่มีสุขภาพจิตดี ซึ่งเป็นส่วนมากของกลุ่มตัวอย่าง

“ผลลัพธ์จากการปฏิสัมพันธ์กับเอไอไม่ได้เกิดจากเอไอฝ่ายเดียว แต่เป็นผลจากพฤติกรรมของมนุษย์แล้วส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเอไอ เอไอเปรียบเสมือนกระจก เรายืนหน้ากระจก เราเป็นแบบไหน เอไอก็สะท้อนกลับมา เอไออาจไม่ใช่กระจกตรง อาจเป็นกระจกโค้งที่ขยายอะไรบางอย่างแล้วส่งกลับมาหาเรา ดังนั้น หากจะหาแนวทางจัดการเอไอ ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์และพฤติกรรมเอไอควบคู่กันไปเป็นสิ่งจำเป็น” พัทน์อธิบาย

“นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม Cyborg Psychology จึงพยายามตอบโจทย์ที่สำคัญที่สุดในยุคสมัยนี้ นั่นคือเราจะเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์และเอไอที่ส่งผลซึ่งกันและกันได้อย่างไร และเราจะออกแบบพฤติกรรมของเอไอให้สร้างพฤติกรรมทางบวกกับมนุษย์ได้อย่างไร

“ท้ายที่สุด คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ว่าเอไอจะพัฒนาจนก้าวหน้าหรือฉลาดแค่ไหน แต่ยังอยู่ที่ว่า เมื่อเอไอพัฒนาแล้ว มนุษย์เราเปลี่ยนไปแค่ไหน อย่างไร หากมองผ่านมุมมองเด็ก ผมคิดว่านี่ไม่ใช่โจทย์ที่ซับซ้อน เด็กจะมองว่าเอไอคือโดราเอมอนที่ช่วยให้โนบิตะเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น”


ความท้าทายในการใช้เอไอในการศึกษาไทย

“เวลาเรามองเรื่องการศึกษากับเอไอ โจทย์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ว่าเราจะทำให้เอไอกลายเป็นเครื่องมือในการศึกษาได้อย่างไร แต่เราต้องหันกลับไปคิดใหม่เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ในทุกมิติว่าเอไอจะเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง” กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ แสดงความเห็น

โดยสิ่งที่เธอมองว่าเอไอเข้ามาเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ คือ ‘การรื้อ’ (deconstruct) องค์ความรู้และแยกย่อยออกเป็นส่วนๆ เพื่อไปประกอบรวมใหม่ อย่างเช่นโปรเจกต์ Cyber Subin ที่ต้องอาศัยความเข้าใจ ‘แก่น’ อย่างการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและพื้นฐานนาฏศิลป์เพื่อฝึกให้เอไอสามารถรำได้ตามคำสั่ง

อย่างไรก็ตาม กุลธิดากล่าวว่าการนำเอไอเข้ามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการเรียนรู้แบบไทยๆ ยังเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากวัฒนธรรมการศึกษาของเราอาจตั้งต้นที่ ‘เปลือก’ ขององค์ความรู้หรือกระบวนการก่อน ‘แก่น’ ขณะที่ไอเอเรียกร้องการทำความเข้าใจจากแก่นไปเปลือก ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการเรียนรู้ในไทยยังมุ่งเน้นให้ความสำคัญที่ผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการเรียนรู้ ขณะที่การใช้เอไอในการศึกษาจำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อกระบวนการการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครื่องมือหรือ buzzword เท่านั้น

“หากมองอย่างมีความหวัง หวังว่าการนำเอไอเข้ามาใช้ในการศึกษาไทยจะนำไปสู่การเปลี่ยนกระบวกทัศน์การเรียนรู้ในไทยให้มุ่งเน้นไปที่กระบวนการมากกว่าผลลัพธ์”

ด้านหนึ่ง กุลธิดาเล่าว่าเริ่มค่อยๆ เห็นกระบวนทัศน์การเรียนรู้เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับกระบวนการแล้ว ในเชิงนโยบาย หากจะประยุกต์ใช้เอไอในระบบการศึกษา เธอเสนอว่าทุกภาคส่วนในระบบการศึกษา ทั้งผู้กำหนดนโยบาย ผู้บริหารโรงเรียน ครู ผู้ปกครอง และสังคมต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการใช้เอไอในเชิงหลักการไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเอื้อให้การใช้เอไอเสริมกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นได้


เอไอกับการศึกษาผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม

เมื่อมองผ่านเลนส์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ณัฐวุฒิ เผ่าทวี ให้ความเห็นว่า ‘หน้าที่ของสถาบัน’ เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เมื่อนำเอไอเข้ามาใช้ในการเรียนรู้

“ในทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มนุษย์ไม่ได้ตัดสินใจอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากเท่าที่เราคิด ดังนั้น หน้าที่ของสถาบันที่ดีคือ ออกแบบนโยบายเพื่อ ‘สะกิด’ ให้คนตัดสินใจหรือมีพฤติกรรมเชิงบวก”

และเมื่อพิจารณาการใช้เอไอเพื่อการเรียนรู้ผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จะเห็นว่าหากสถาบันเอื้ออำนวยให้คนใช้เอไอเพื่อเติมเต็มการเติบโตของตนเองได้ ทั้งสังคมก็จะพัฒนาและได้ประโยชน์ แต่หากสถาบันมุ่งเน้นเพิ่มพูนผลกำไร โดยไม่สนใจการป้องกันผลกระทบเชิงลบที่ตามมาจากการใช้เอไอ ผลลัพธ์ก็อาจเป็นไปในทิศทางอื่น ดังนั้น เมื่อเกิดผลลัพธ์เชิงลบจากการใช้เอไอ ณัฐวุฒิจึงเสนอว่าไม่ควรมองปัญหาในเชิงปัจเจกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาการออกแบบสถาบันเช่นกัน “เราต้องการกลไกหรือสถาบันที่ช่วยผลักหรือสะกิดให้เกิดพฤติกรรมดีๆ”

อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ณัฐวุฒิกล่าวว่าเป็นตัวกำหนดว่ามนุษย์จะใช้เอไอในทางที่ดีหรือไม่คือ ‘แรงจูงใจ’ (incentive) กล่าวคือหากสถาบันกำหนดแรงจูงใจในการใช้เอไอให้เป็นไปเพื่อผลการเรียนที่ดี เอไอก็อาจถูกใช้เป็นทางลัดในการทำการบ้านหรือข้อสอบ ดังนั้น โจทย์สำคัญที่ณัฐวุฒิเสนอว่าต้องคิด คือจะกำหนดแรงจูงใจอย่างไรเพื่อให้เกิดการใช้เอไออย่างสร้างสรรค์


ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world

Cyborg Psychology: The Art & Science of Designing Human-AI Systems that Support Human Flourishing