1
‘มิ้ว’ มีความฝันหลายอย่าง เธอฝันอยากสอบเข้าโรงเรียนดังใกล้บ้าน อยากลองเรียนทำอาหาร และอยากเป็นหมอผ่าตัด – จักรวาลความฝันของเธอพังทลายลงแทบจะทันทีที่รู้ตัวว่าต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาดูแลยายสูงวัยที่ป่วยสารพัดโรคจนเดินไม่ได้
โลกใจร้ายได้มากกว่านั้น จักรวาลความฝันของเธอถูกบดขยี้อีกรอบเมื่อเธอตั้งท้องในวัย 17 ปี เธอต้องหยุดเรียน กศน. และระหกระเหินมาพึ่งพิงอาศัยใต้ชายคาบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง สถานที่พึ่งพิงสำหรับสตรีท้องไม่พร้อม ถูกทำร้าย หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ
“ถ้าไม่บังเอิญท้องตอนนี้ หนูคงจะได้ไปสอบ กศน. และไม่ต้องหยุดเรียน” มิ้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ปัจจุบัน มิ้วเป็นคุณแม่อายุครรภ์ 8 เดือน พื้นเพของเธอไม่ใช่คนกรุงเทพฯ เธอเกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนจะย้ายตามพ่อเลี้ยงและแม่มาอยู่อาศัยที่ชุมชนคลองเตย ชุมชนแออัดที่ตั้งอยู่ใจกลางความเจริญของเมืองหลวง ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานพ่อเลี้ยงและแม่ของเธอก็โยกย้ายอีกครั้งเพื่อไปทำงานที่อื่น ปล่อยเธอใช้ชีวิตอยู่กับยายและลุงเพียงสามคน
ไม่ทันต้องถามถึงพ่อผู้ให้กำเนิด มิ้วชิงเล่าให้ฟังก่อนเลยว่าพ่อของเธอ “ติดคุกเพราะยาเสพติด เกิดมาเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว”
เมื่อการโยกย้ายเข้ากรุงเทพฯ เริ่มลงตัว มิ้วในขณะนั้นสมัครเข้าเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน แต่ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองได้ไม่นานก็ต้องลาออก เหตุผลหนึ่งคือออกมาเพื่อดูแลยายที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
“ช่วงแรกที่ออกจากโรงเรียนมีครูมาเยี่ยมที่บ้านเพื่อตามให้กลับไปเรียน หนูเลยบอกให้โรงเรียนตัดชื่อออกเลยเพราะต้องดูแลยาย ยายก็คิดว่าไม่ต้องไปเรียนแล้ว ดูแลยายอยู่บ้านดีกว่า” มิ้วเล่า
อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านเศรษฐกิจคืออีกเหตุผลที่ทำให้มิ้วไม่สามารถเติบโตในระบบการศึกษาตามปกติได้ ภาษาชาวบ้านคือครอบครัวของเธอไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม แม้รัฐจะมีนโยบายเรียนฟรี แต่ค่าใช้จ่ายก็มาในนามของ ‘ค่าบำรุงการศึกษา’ ซึ่งครอบครัวของมิ้วไม่มีเงินพอสำหรับสิ่งนี้ ไปจนถึงค่าใช้จ่ายส่วนเกินสำหรับการศึกษาอย่างพวกเอกสารการเรียนการสอน อุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน และอื่นๆ
ไม่มีเงินพอสำหรับระบบการศึกษา – ปัญหาคลาสสิกที่หลายครอบครัวไทยยังต้องเผชิญ
“ตอนออกจากโรงเรียนเก่าตอนชั้น ม.2 หนูอยากเรียนต่อโรงเรียนวัดธาตุทองมาก แต่ก็ไม่ได้สมัครเพราะมีปัญหาค่าใช้จ่าย ที่บ้านหนูจ่ายค่าเทอมเทอมละ 2,500 บาทไม่ไหว หนูเลยเรียน กศน. แทนเพราะมันฟรี”
“อย่างน้อยโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองกับ กศน. ที่หนูเรียนก็ตั้งอยู่ใกล้กัน” มิ้วเอ่ยยิ้มๆ
ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าชีวิตมิ้วจะเข้าที่เข้าทางพอสำหรับการเริ่มเรียน กศน. เวลาล่วงเลยผ่านไปแรมปี ขณะที่เธอกำลังเรียนเพื่อเอาวุฒิอย่างขะมักเขม้น มิ้วต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาซ้ำอีกครั้ง ชั่วขณะที่ผลตรวจตั้งครรภ์ขึ้นสองขีด เธอกลายเป็นแม่วัยใสและตัดสินใจหยุดเรียน กศน. เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
มิ้วไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท เมื่อรู้ว่าตั้งท้องจึงปรึกษาแค่เจ้าหน้าที่มูลนิธิบ้านชีวิตใหม่ใจสมาน ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ดูแลชุมชนคลองเตยและให้ความช่วยเหลือครอบครัวเธอมาโดยตลอด อันที่จริง เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิเป็นคนที่ทำให้มิ้วรู้ตัวว่ากำลังท้องด้วยซ้ำ
เธอเล่าว่าเจ้าหน้าที่มูลนิธิเห็นว่าร่างกายเธอผิดปกติไปจากเดิม จึงแนะนำให้ใช้ที่ตรวจครรภ์จนทำให้ค้นพบว่ากำลังตั้งท้องอยู่ พอสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้เธอออกจากบ้านพักที่แออัดไม่ถูกสุขลักษณะ มาพักอาศัยที่บ้านพักฉุกเฉินเพื่อสุขอนามัย สุขภาพใจ และความปลอดภัยของเด็กในท้อง
เมื่อถามว่าพ่อของลูกว่ามีส่วนช่วยรับผิดชอบอย่างไร มิ้วเล่าเพียงว่า “พอรู้ว่าหนูท้องเขาก็บล็อกเฟซบุ๊ก ย้ายบ้านหนี ติดต่อไม่ได้ แต่หนูดีใจนะที่ไม่ต้องเจอเขาอีก”
“คลอดเสร็จหนูอยากกลับไปเรียน กศน. ให้จบ หนูอยากเป็นหมอผ่าตัดกระดูกเพื่อผ่าตัดขาที่ยายปวด” มิ้วบอกกับเรา ก่อนจะเล่าให้ฟังว่ายายไม่ยอมไปหาหมอในโรงพยาบาล มัวแต่กินยาชุดและกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เธอจึงอยากเป็นหมอเพื่อรักษายายให้หายด้วยตนเอง
ถ้าเป็นหมอไม่ได้ มิ้ววางแผนสำรองว่าจะลองสมัครงานตำแหน่งพนักงานร้านสะดวกซื้อหรือพนักงานร้านอาหาร ทำอย่างไรก็ได้เพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูกในท้องให้ดีที่สุด
สำหรับเด็กนอกระบบอย่างมิ้ว สิ่งที่จะสนับสนุนให้เธอได้เดินตามความฝัน – หรืออย่างน้อยที่สุดคือช่วยให้เธอกลับคืนสู่ระบบการศึกษา – คือทุนการศึกษาและการสนับสนุนเชิงทรัพยากร เธอยืนยันว่าปัญหาหลักของครอบครัวคือการไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน ถึงขนาดที่บอกว่า “หากตอนนั้นโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองไม่คิดค่าเทอม ตอนนี้หนูอาจจะยังเรียนอยู่ก็ได้”
“ถ้าย้อนเวลากลับไปบอกตัวเองตอน ม.2 ได้ หนูคงบอกตัวเองว่าไม่น่าหยุดเรียนเลย และถ้าย้อนเวลากลับไปบอกตัวเองก่อนท้องได้ หนูก็คงบอกตัวเองว่าอย่าไปยุ่งกับผู้ชายคนนั้น เรื่องจะได้ไม่บานปลายแบบนี้” มิ้วทิ้งท้าย
ร่างผอมเล็กของมิ้วแบกอะไรต่อมิอะไรมหาศาล แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เด็กน้อยในท้องโต แต่รวมถึงภาระครอบครัว อนาคตของลูก และอนาคตของเธอในวันที่อยู่นอกระบบ
แม้ฉากหน้าของมิ้วจะดูคล้ายปัญหาส่วนตัวของ ‘เด็กใจแตก’ เด็กไม่ดีที่ออกนอกลู่นอกทางและไร้ความรับผิดชอบ แต่หากพิจารณาเบื้องลึกจะพบว่าเหตุแห่งการหลุดจากระบบการศึกษาของเธอเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมากกว่านั้น ไม่ใช่เพียงเพราะตั้งครรภ์ ชีวิตของมิ้วถูกถาโถมซัดซ้ำด้วยความยากจน การขาดโอกาสในการเรียนรู้ การขาดการสนับสนุนที่เหมาะสม และระบบการศึกษาที่ไม่สามารถรองรับเด็กทุกคนได้
อุปสรรคซัดกระหน่ำเสียจนเธอหลุดออกจากระบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
2
บ้านพักฉุกเฉินเป็นที่พึ่งพิงของผู้หญิงเปราะบางหลายรูปแบบ นอกจากผู้หญิงท้องไม่พร้อม อีกกรณีที่บ้านพักฉุกเฉินต้องให้ความช่วยเหลือเยอะไม่แพ้กัน คือผู้หญิงที่ถูกทำร้ายและเผชิญกับความรุนแรง
‘แตงกวา’ คือหนึ่งในนั้น พื้นเพเธอเป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ อายุอานามอยู่ในวัยเพิ่งพ้นเบญจเพสไปหมาดๆ เธอเป็นแม่ลูกสอง เรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่หก และย้ายถิ่นฐานเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำงานรับจ้างหารายได้
“เมื่อก่อนเราอยู่ด้วยกันสี่คนพร้อมหน้า แฟนทำงาน ส่วนเราทำได้แค่รับจ้างเป็นแม่บ้าน ทำงานเซเว่นไม่ได้เพราะวุฒิการศึกษาไม่ถึง เราเลยอยากกลับไปเรียน อย่างน้อยให้จบแค่ ม.3 ก็ยังดี จะได้เป็นใบเบิกทางให้ไปทำอาชีพอื่น”
“เราเคยอยากเป็นหมอนะ แต่จบแค่ ป.6 ก็คงจะเป็นไม่ได้ เราเคยสมัครเรียน กศน. ด้วย แต่ก็ไม่ได้ไปเรียนเพราะไม่รู้ว่าต้องเรียนอย่างไร” แตงกวาเล่าเสียงเจื้อยแจ้ว ดูเหมือนว่าสมาชิกบ้านพักฉุกเฉินหลายคนมีฝันอยากจะสวมเสื้อกาวน์และรักษาชีวิต อาชีพในฝันที่ใครต่อใครในวัยก่อนมัธยมต้นต่างก็อยากจะเป็น
ลูกก็ต้องเลี้ยง เงินก็ต้องหา – จะหนักหนาแค่ไหนแตงกวาก็พร้อมเผชิญกับความลำบากเพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขกับครอบครัว แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อยาเสพติดเริ่มเข้ามาในบ้าน ครอบครัวธรรมดาพังลงในพริบตา ยาเปลี่ยนแฟนของเธอให้กลายเป็นปีศาจที่ลงมือทำร้ายร่างกายทุกคนในครอบครัว ไม่เว้นแม้กระทั่งลูก
“ที่ต้องมาอยู่บ้านพักฉุกเฉินเพราะโดนแฟนทำร้าย เรารู้สึกแย่และรู้สึกเสียใจจนร้องไห้ เขาตีลูกด้วย ถึงจะไม่มากเท่ากับที่ตีเราก็ตาม ทั้งหมดเป็นเพราะยาเสพติด จะเลิกก็เลิกไม่ได้”
“เราคิดอยากจะออกจากตรงนั้นนานแล้ว แต่แฟนไม่ยอม” ผู้หญิงหลายคนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ปัจจุบันแตงกวาอายุ 26 ปี เธออาศัยอยู่บ้านพักฉุกเฉินตั้งแต่กลางปี 2566 ครอบครัวของเธอแตกแยกกระจัดกระจาย ลูกชายคนโตต้องพึ่งพิงอยู่อาศัยในมูลนิธิย่านคลองเตย โชคดีที่ลูกสาวคนเล็กยังอาศัยอยู่ในศูนย์เลี้ยงเด็กอ่อนของบ้านพักฉุกเฉิน ส่วนแฟนหนุ่มไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
แตงกวาบอกว่า “ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปเรียน กศน. เพื่อเอาวุฒิไปสมัครงาน” นอกจากเรียนต่อ กศน. เธอมีฝันอยากเรียนและฝึกอาชีพช่างแต่งหน้าด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่เอื้อให้เธอออกไปเรียนแต่งหน้าด้านนอกได้ จึงทำได้แค่เรียนฝึกทักษะอื่นๆ ที่มีในศูนย์ฝึกอาชีพของบ้านพักฉุกเฉิน
“เราไม่รู้ว่าจะได้ออกจากบ้านพักฉุกเฉินเมื่อไหร่ แต่อยู่ที่นี่ก็สบายใจ ได้เรียนจัดดอกไม้ เย็บผ้า และทำอะไรที่ช่วยฝึกควบคุมอารมณ์และสมาธิ”
“แต่ถึงจะอยู่แล้วมีความสุข บางทีมันก็เศร้านะ เราคิดถึงลูกชาย” แตงกวาเปรยกับสายลม หวังว่ามวลอากาศจะพัดพาความคิดถึงข้ามกำแพงบ้านพักฉุกเฉินไปถึงลูกชายได้
แม้แตงกวาจะอยู่ในวัยที่พ้นความเป็นเด็กและเยาวชนตามกฎหมาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นฐานชีวิตของเธอเริ่มต้นจากการเป็นเด็กนอกระบบ รากฐานชีวิตเช่นนี้ไม่เพียงทำให้เธอเสียโอกาสด้านการเรียนรู้ แต่ยังผลักให้เธอเป็นคนชายขอบ ไม่สามารถเข้าถึงงานที่ดี และไม่มีความมั่นคงในชีวิต
เรามักจินตนาการถึง ‘what if’ หรือชีวิตอีกแบบว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร เช่น จะเป็นอย่างไรนะถ้าเราเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ จะเป็นอย่างไรนะถ้าเราเลือกเรียนคณะอื่น จะเป็นอย่างไรนะถ้าเราเลือกทำงานอาชีพอื่น จะเป็นอย่างไรนะถ้าเราเลือกทำงานบริษัทอื่น
คำถามสำคัญคือจะเป็นอย่างไรนะถ้าแตงกวาถูกโอบอุ้มและช่วยเหลือตั้งแต่ก่อนหลุดจากระบบการศึกษา จะเป็นอย่างไรนะถ้าแตงกวาถูกสนับสนุนให้ยังเรียนอยู่ในระบบตั้งแต่ยังเยาว์วัย อนาคตของแตงกวาจะมีรูปร่างหน้าตาโหดร้ายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรือไม่
เป็นคำถามที่เราไม่มีวันรู้คำตอบ
3
ในบรรดาผู้หญิงที่เผชิญมรสุมชีวิตจนต้องพึ่งพิงบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง จำนวนหนึ่งคือเด็กชั้นมัธยมที่กำลังหลุดจากระบบการศึกษา ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งคือคนที่เติบโตมาในฐานะเด็กหญิงที่หลุดจากระบบการศึกษา
บ้านพักฉุกเฉินคือที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หญิงและเด็กที่เผชิญความรุนแรงแทบทุกรูปแบบ เช่น ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน ถูกทำร้าย ถูกทอดทิ้ง ติดเชื้อเอชไอวี ความรุนแรงในครอบครัว ฯลฯ สถานที่แห่งนี้ถูกออกแบบให้เปิด 24 ชั่วโมงเพื่อรองรับผู้หญิงและเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือทุกวินาที มีเจ้าหน้าที่พักอาศัยภายในเขตบ้านพักเพื่อให้พร้อมต่อการให้ช่วยเหลือตลอดเวลา แม้จะนอกเวลาราชการ
จากรูปแบบความรุนแรงที่เล่ามา หลายคนที่นี่จึงไม่ได้เผชิญแค่ปัญหาหลุดระบบการศึกษา แต่ต้องต่อสู้กับความยากลำบากมิติอื่นที่ซ้อนทับอยู่ด้วย
แรกเริ่มเดิมที บ้านพักฉุกเฉินเป็นพื้นที่รองรับสตรีที่ถูกบังคับค้าประเวณีเป็นหลัก นั่นทำให้องค์กรเริ่มค้นพบว่าผู้หญิงบางคนเข้าไม่ถึงการศึกษา กล่าวคือไม่ได้เรียนหนังสือหรือเคยเรียนแต่ต้องลาออก การขาดโอกาสทางการศึกษาในหมู่ผู้หญิงเปราะบางทำให้บ้านพักฉุกเฉินตัดสินใจเปิดศูนย์ กศน. ในพื้นที่ของตนเอง
ใครก็สามารถเรียน กศน. ที่นี่ได้ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่งงานหรือยังไม่แต่งงาน มีลูกหรือไม่มีลูก ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษกว่าใคร บ้านพักฉุกเฉินออกแบบระบบภายในแบบที่เอื้อทุกคนสามารถเรียนได้อย่างง่ายดาย โดยที่สนับสนุนต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเรียนให้ด้วย
บ้านพักฉุกเฉินจึงเปรียบเสมือนจุดพักเล็กๆ ระหว่างการเดินทางแห่งชีวิต เป็นเหมือนพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเปราะบางได้นั่งพักทบทวนและวางแผนชีวิตใหม่ ก่อนจะออกเดินทางต่อสู้กับโลกภายนอกอีกครั้ง
“ถ้ามาอยู่กับเรา อันดับแรกคือเราจะช่วยให้เขาได้เรียนต่อ”
“บางคนต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ป.6 พ่อแม่ไม่ส่งเรียนหนังสือและบังคับให้ออกมาช่วยงาน เด็กผู้หญิงมักจะเจอสถานการณ์นี้ บางครั้งความเป็นผู้หญิงทำให้เด็กต้องออกจากโรงเรียน” อุษา เลิศศรีสันทัด บอกกับเรา เธอคือผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ สมาคมที่ดูแลบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง
เด็กในบ้านพักฉุกเฉินส่วนใหญ่มักเป็นเด็กที่หลุดระบบการศึกษาเป็นทุนเดิม ภารกิจของบ้านพักฉุกเฉินจึงเป็นการทำให้พวกเขาเข้าถึงระบบการศึกษามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาความรู้
“บางเคสสุดโต่งมาก มีเด็กวัย 17 มาอาศัยที่บ้านพักฉุกเฉินเพราะสามีติดยาและทำร้ายร่างกาย แต่หากย้อนมองอดีตจะพบว่าเขาไม่มีใครดูแลและหลุดระบบการศึกษาตั้งแต่ ป.6 พ่อแม่ของเขาติดเชื้อเอชไอวีจนเสียชีวิต ซึ่งเขาเองก็ติดเชื้อเอชไอวีด้วย”
เรื่องราวไม่จบเพียงเท่านี้ อุษาเล่าต่อว่า “อยู่แบบไม่มีพ่อแม่ได้พักหนึ่ง เด็กก็แต่งงานกับสามีอายุรุ่นราวคราวพ่อ อายุมากกว่าเกือบ 20 ปี แต่ด้วยความที่ไม่มีใคร สามีจึงกลายเป็นที่พึ่งและยึดเหนี่ยว ฉะนั้นเด็กจึงเจอทั้งปัญหาเอชไอวี ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยเรียน ปัญหาความรุนแรงภายในบ้าน และปัญหาหลุดระบบการศึกษา”
ความเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเด็กที่ถูกกระทำโดยตรง อุษาชี้ว่าความเสี่ยงหลุดระบบอาจครอบคลุมถึงบุคคลชิดใกล้อย่าง ‘ลูก’ ด้วยก็ได้ โดยเฉพาะลูกของแม่ที่กำลังประสบปัญหา เพราะผู้หญิงจำนวนมากหนีภัยชีวิตและเดินทางมาบ้านพักฉุกเฉินโดยหอบอุ้มลูกน้อยเคียงข้างกาย ซึ่งการโยกย้ายอาจทำให้การเรียนของเด็กต้องหยุดชะงัก
ถ้าไม่เห็นภาพว่าการโยกย้ายมีผลกระทบต่อการเรียนอย่างไร ลองนึกภาพผู้หญิงจากจังหวัดอ่างทองที่เดินทางมาบ้านพักฉุกเฉินเพื่อหลบหนีจากสามีที่ทุบตีทำร้าย เธอไม่มีครอบครัวที่พึ่งพาและสามารถฝากลูกไว้ได้ ถ้าไม่พาลูกมาด้วย ลูกอาจต้องเผชิญอันตรายเพียงลำพัง แต่ถ้าพาลูกมาด้วย ลูกที่เรียนโรงเรียนใกล้บ้านก็อาจต้องหยุดเรียนกะทันหัน
อย่างไรก็ตาม หากแม่ตัดสินใจพาลูกมาด้วย บ้านพักฉุกเฉินก็พอมีระบบช่วยเหลือให้เด็กกลับเข้าระบบการศึกษา โดยถ้าแม่ลูกเข้ามาช่วงปิดเทอมพอดี บ้านพักฉุกเฉินจะประสานส่งเด็กไปเรียนโรงเรียนใกล้เคียงอย่างโรงเรียนบำรุงรวิวรรณวิทยา แต่ถ้าแม้ลูกเข้ามาตอนที่เปิดเทอมไปแล้ว เด็กอาจต้องรอโรงเรียนเริ่มเทอมใหม่อีกหลายเดือน ส่งผลให้เด็กอาจเรียนช้ากว่าที่ควรจะเป็น
“บ้านพักฉุกเฉินต้องการให้ทุกคนเข้มแข็งและมีพลัง โดยที่ให้ความสำคัญกับลูกของพวกเขาด้วย หน้าที่ของเราคือคอยดูแลว่าเด็กเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาหรือไม่ หากใช่ เราก็จะช่วยให้เด็กเหล่านี้เข้าถึงการศึกษา” อุษากล่าว
4
“คนที่มาพึ่งเรามักมีข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ” อุษาเกริ่น “บางคนไม่สามารถใช้เงินหลบหนีสามีด้วยการไปเช่าห้องอยู่”
มิ้วและแตงกวาเป็นหนึ่งในนั้น สมาชิกบ้านพักฉุกเฉินจำนวนมาก – ทั้งที่ยังเป็นเด็กหญิงและไม่ใช่เด็กหญิง – หลุดระบบการศึกษาเพราะปัญหาเรื่องเงิน พวกเธอต้องลาออกเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเรียนหนังสือ ครอบครัวลำบากกับการหาเช้ากินค่ำเกินกว่าจะให้ความสำคัญกับการศึกษา
แน่นอนว่าความยากจนคือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กเรียนหนังสือไม่ได้ แต่ใครจะคิดว่าอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กหลุดระบบอาจข้องเกี่ยวกับ ‘ความเป็นผู้หญิง’
ประสบการณ์การทำงานทำให้ ผอ.สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ ค้นพบว่าครอบครัวมีแนวโน้มส่งเสียลูกชายให้เรียนหนังสือมากกว่า ขณะที่ลูกสาวมีแนวโน้มต้องลาออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน ไม่ก็ช่วยเลี้ยงน้อง ช่วยดูแลผู้สูงอายุ ช่วยทำงานบ้าน สารพัดงานดูแล (care work) ที่สังคมกำหนดให้เป็นบทบาทของผู้หญิง
“ท้องไม่พร้อมนี่ชัดเจน เด็กผู้ชายเรียนต่อได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ แต่เด็กผู้หญิงต้องหยุดเรียน ต้องเผชิญอคติในสังคม และต้องถูกตั้งคำถามตีตรา” อุษายกตัวอย่างถึงความเป็นผู้หญิงที่ผลักไสให้เด็กหลุดระบบ
ความเป็นผู้หญิงเกี่ยวเนื่องกับความรุนแรงในหลายมิติ บ่อยครั้งที่ผู้หญิงตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรงด้วยโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียมทางเพศ สำหรับอุษา ความรุนแรงนี้สามารถส่งผลให้ผู้หญิงหลุดจากระบบการศึกษาได้เหมือนกัน หากจินตนาการไม่ออกให้ลองนึกภาพเด็กหญิงที่ถูกข่มขืนโดยสมาชิกในครอบครัว อุษาอธิบายว่าการล่วงละเมิดอาจกัดกินและทำลายสภาพจิตใจของเด็กจนไม่เหลือชิ้นดี พาลให้เด็กเก็บตัวเงียบเชียบ ไม่สุงสิงพูดคุยกับใคร และปฏิเสธการไปโรงเรียนในท้ายที่สุด
และความเป็นผู้หญิงสัมพันธ์กับความเป็นแม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งความเป็นแม่ก็ทำให้เด็กหญิงจำนวนมากต้องหลุดจากระบบการศึกษา บ้างตัดสินใจออกเองเพราะไม่เห็นทางเลือกอื่น บ้างถูกบีบบังคับให้ลาออกเพื่อปกป้องชื่อเสียงของโรงเรียน
“เราจึงต้องทำระบบรองรับ” อุษาว่า “นักเรียนท้องไม่พร้อมยังกลับเข้าสู่ระบบได้เพราะอายุยังเข้าเกณฑ์ บ้านพักฉุกเฉินจึงสนับสนุนให้พวกเธอได้เรียนหนังสือ โดยทำโครงการให้เด็กที่สามารถคลอดแล้วกลับไปเรียนหนังสือได้ แบบที่เราช่วยดูแลทารก”
บ้านพักฉุกเฉินจึงมีทั้งศูนย์เลี้ยงเด็กอ่อนและศูนย์บ้านเด็ก สภาพภายในศูนย์สะอาดสะอ้านและครบครันด้วยสิ่งของจำเป็นสำหรับดูแลเด็ก ส่วนภายนอกมีผืนทรายสำหรับวิ่งเล่นและสนามเด็กเล่นสีสดใสตั้งอยู่ไม่ไกล
“ถ้าเราไม่ช่วยดูแลทารก เด็กอาจโตไปเป็นคนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาก็ได้” อุษาบอก
แม้กระทรวงศึกษาธิการจะประกาศผ่านกฎกระทรวงว่าเด็กท้องต้องได้เรียนต่อ แต่ในทางปฏิบัติกลับยังมีคุณแม่วัยใสจำนวนมากที่ถูกบีบให้ออกจากสถานศึกษา สำหรับประเด็นนี้ อุษามองว่าเด็กจะไม่หลุดจากระบบการศึกษาแน่ “ถ้าครูเข้าใจ” เพราะที่ผ่านมาก็มีกรณีที่ครูเข้าใจและช่วยเหลือเด็กให้ได้กลับไปเรียนอย่างเต็มที่
“แต่กลายเป็นว่าต้องขึ้นอยู่กับสปิริตและจิตวิญญาณของครูในการเข้าใจและไม่ตัดสินเด็ก” อุษากล่าว นั่นหมายความว่าครูจำนวนหนึ่งยังคงไม่เข้าใจและมีอคติต่อเด็กท้องในวัยเรียน ซึ่งเธอระบุว่ากระทรวงศึกษาธิการต้องรณรงค์แนวปฏิบัติว่าด้วยสิทธิในการเรียนต่อของนักเรียนท้องไม่พร้อมอย่างจริงจัง กล่าวคือรณรงค์จนครูทั่วประเทศรับทราบว่าเด็กท้องมีสิทธิเรียนต่อ รณรงค์จนครูรับทราบว่าสามารถออกแบบการเรียนการสอนเพื่อรับรองเด็กท้องในวัยเรียนได้
รณรงค์อย่างไรก็ได้ให้ครูเข้าใจความหลากหลายของเด็ก พร้อมที่จะช่วยเหลือเด็กท้องในวัยเรียนโดยไม่ต้องพึ่ง ‘สปิริต’ อีกต่อไป
5
บ้านพักฉุกเฉินนิยามตัวเองว่าเป็น ‘สถาบันการศึกษา’ รูปแบบหนึ่ง
คำว่าสถาบันการศึกษามีความหมายสองนัย นัยแรกคือการเป็นพื้นที่การเรียนรู้แลกเปลี่ยนของผู้เยี่ยมชม เป็นห้องเรียนมนุษย์ที่สอนให้สังคมเข้าใจสถานการณ์และปัญหาที่ผู้หญิงและเด็กต้องเผชิญ ส่วนนัยที่สองให้ความหมายตรงตัว กล่าวคือเป็นสถาบันที่ให้การศึกษา ไม่ว่าจะโรงเรียน กศน. เพื่อให้สมาชิกบ้านพักฉุกเฉินได้ศึกษาเล่าเรียน หรือศูนย์ฝึกอาชีพที่มุ่งหวังสร้างทักษะเพื่อความมั่นคงทางอาชีพในอนาคต
ศูนย์ฝึกอาชีพเปิดสอนหลายหลักสูตร ได้แก่ เย็บผ้า สานตะกร้า อบขนม ทำอาหาร ทำดอกไม้ประดิษฐ์ เป็นต้น โดยบางวิชาสามารถเข้าเรียนได้ทุกวัน แต่บางวิชาจะเปิดสอนเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น ทั้งนี้ ผลผลิตจากบางวิชาสามารถนำไปขายและสร้างเม็ดเงินได้ อาทิ ผ้าปัก ตะกร้า ดอกไม้ประดิษฐ์
“การเรียนทำดอกไม้ประดิษฐ์คือการทำอาชีวบำบัดเพื่อฟื้นฟูจิตใจและทำสมาธิ ขณะเดียวกัน ดอกไม้ประดิษฐ์สามารถนำไปขายและสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ให้คนในบ้านพักฉุกเฉินได้” อุษาอธิบาย สมาชิกส่วนใหญ่ขาดรายได้ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้านพักแห่งนี้ ฉะนั้นการฝึกอาชีพบางวิชาจึงไม่เพียงเสริมทักษะ แต่เป็นการสร้างรายได้และคุณค่าให้พวกเธอด้วย
อุษายืนยันว่ามีคนนำทักษะที่เรียนไปประกอบอาชีพและทำมาหากินจนสร้างรายได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี เธอยอมรับว่าทักษะเหล่านี้อาจนำไปประกอบธุรกิจของตนเองยาก และผู้เรียนอาจต้องเริ่มต้นทำงานเป็นลูกจ้างของคนอื่นด้วยทักษะเหล่านี้เสียก่อน
แม้จะพยายามสร้างโรงเรียนทางเลือกเพื่อเพิ่มพูนทักษะ แต่ศูนย์ฝึกอาชีพแห่งนี้ก็ต้องเผชิญอุปสรรคไม่น้อย ทั้งการถูกตัดงบประมาณ ทั้งการขาดหลักสูตรที่หลากหลายและทันสมัย กล่าวคือหลักสูตรที่จะเป็นประโยชน์ให้กับสมาชิกบ้านพักฉุกเฉินในยุคปัจจุบัน
“บางครั้งเราอยู่ได้ด้วยเงินบริจาค อย่างการเปิดวิชาสอนทำขนมก็มีทั้งค่าใช้จ่ายและค่าอุปกรณ์ เราจึงเปิดให้คนนอกมาเรียนด้วยเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วน ซึ่งถ้ามีคนนอกลงทะเบียนถึงจำนวนที่ต้องการเราก็อาจไม่ต้องควักเงิน เราไม่ได้หวังผลกำไร แต่เงินส่วนนี้จะทุ่นค่าใช้จ่ายเยอะ” อุษาระบุ
6
มิ้วและแตงกวาไม่ใช่ผู้หญิงไม่กี่คนที่หลุดระบบศึกษา ผู้หญิงหลายล้านคนทั่วโลกหลุดจากระบบการศึกษา แม้แต่ภายในรั้วและหลังคาบ้านพักฉุกเฉินที่มีคนพักอยู่ไม่กี่สิบคน ผู้หญิงจำนวนมากในนั้นก็เติบโตมาโดยขาดโอกาสทางการศึกษา
“หากไม่มีหน่วยงานช่วยสนับสนุน น้อยมากที่เด็กจะกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้” อุษาบอกกับเรา
ไม่เกินจริงหากจะกล่าวว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ่งอาจต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน สำหรับอุษา การจะทำให้จำนวนเด็กนอกระบบลดลงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของครอบครัวและชุมชนด้วย โดยเฉพาะการเปลี่ยนสังคมให้ไม่มุ่งเป้าความผิดที่ตัวตนของเด็ก เปลี่ยนให้สังคมตั้งคำถามและหาคำตอบแทนว่าเพราะอะไรเด็กถึงหยุดไปโรงเรียน
ส่วนการลดจำนวนเด็กนอกระบบด้วยกลไกรัฐ อุษาเสนอว่ารัฐควรกำหนดความผิดให้โรงเรียนที่ปล่อยให้นักเรียนออกกลางคันโดยขาดการติดตาม เนื่องจากการปล่อยให้เด็กหยุดเรียนหนังสืออาจยิ่งเพิ่มโอกาสให้เด็กหลุดระบบมีมากขึ้น
การศึกษาจำเป็นต้องยืดหยุ่นและสอดรับความต้องการของเด็กที่หลากหลาย อุษาเสนอด้วยว่าระบบการศึกษาต้องมีแนวปฏิบัติที่ดูแลโอบรับเด็กทุกประเภทอย่างแท้จริง กล่าวคือขยายทางเลือกด้านการเรียนให้กว้าง เปิดโอกาสให้การเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่เหมาะกับเด็กแต่ละประเภท และไม่ปล่อยให้เด็กหลุดระบบเพราะเจอมรสุมชีวิต
หลังจบบทสนทนา ต่างคนต่างกระจัดกระจายแยกย้ายกลับไปใช้ชีวิตตามบทบาท อุษากลับเดินกลับไปห้องทำงาน มิ้วและแตงกวาเดินหายกลับเข้าไปยังอาคารที่พักอาศัย มองเข้าไปในอาคารมีเด็กหลายคนวิ่งเล่น มีผู้หญิงหลายคนพักผ่อน บ้านนอนเล่น บ้างนั่งเล่น บ้างคุยเล่น ต่างคนต่างใช้ชีวิตในมุมของตนเอง
แม้ภาพเบื้องหน้าจะสะท้อนวิถีชีวิตธรรมดา แต่เราต้องไม่ลืมว่าเบื้องหลังความธรรมดาคือเส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยขวากหนามสารพัด เราต้องไม่มองข้ามภาระหนักหน่วงและปัจจัยสารพัดที่ทำให้พวกเธอมาสู่จุดนี้ สำคัญยิ่งกว่าคือเราต้องไม่ตัดสินพวกเธอในบ้านพักฉุกเฉินด้วยผลลัพธ์ของชีวิต แต่ต้องช่วยขบคิดและหาทางออกว่าต้องทำอย่างไรไม่ให้เด็กไทยหลุดจากระบบการศึกษามากไปกว่าเดิม
กล่าวคือทำอย่างไรให้เด็กที่ชีวิตคล้ายคลึงมิ้วและแตงกวา – รวมถึงเด็กและอดีตเด็กทุกรูปแบบในบ้านพักฉุกเฉิน – ถูกโอบรับไว้ไม่ให้ร่วงหล่นจากเส้นทางของการเรียนรู้
ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world