Learning City หมายถึง เมืองที่มีการใช้ทรัพยากรในทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของประชาชนทุกระดับ โดยอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ และส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิต
ปัจจุบัน สถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตของยูเนสโก (UNESCO Institute for Lifelong Learning: UIL) ได้จัดตั้งเครือข่ายระดับโลกด้านเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโก (The UNESCO Global Network of Learning Cities: GNLC) เพื่อช่วยให้รัฐบาลท้องถิ่นพัฒนากลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยขณะนี้มีเมืองแห่งการเรียนรู้ทั่วโลก 294 เมือง จาก 76 ประเทศ
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2024/01/402193975_742703671223960_7011462774260137967_n.jpeg)
วิธีสร้าง Learning City เริ่มจาก
1) วางแผนกลยุทธ์ (Strategic Plan) ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
2) สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (Involve all stakeholders) บุคคลและองค์กรต่างๆ ล้วนมีความหลากหลายและสามารถช่วยกันสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ได้
3) ส่งเสริมการเรียนรู้ (Celebrate Learning) เพื่อดึงดูดความสนใจของสาธารณชน และผลักดันให้พวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้
4) สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษา (Make Learning Accessible to All) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของเมืองแห่งการเรียนรู้
5) ติดตามความคืบหน้าและประเมินผลการดำเนินงาน (Monitor and Evaluate Progress) เฝ้ามองการเติบโตของเมืองอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน
6) จัดสรรงบประมาณและทรัพยากร (Ensure Sustainable Funding) เพื่อให้ชุมชนมีโอกาสเข้าถึงได้
![](https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2024/01/402131068_742703861223941_1709728712801602726_n.jpeg)
ปลายทางของ Learning City
.
.
ปัญหาความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษา ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสในการเข้าถึงการเรียนหนังสือ นับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเด็กจากครัวเรือนที่มีรายได้ใต้เส้นความยากจนกว่า 2.5 ล้านคน จนทำให้เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา
.
Learning City คือหนึ่งในแนวทางลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำดังกล่าว เมื่อผู้คนเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาได้อย่างสะดวกและทั่วถึง จะทำให้เกิดการเลื่อนระดับทางสังคม (social mobility) และการส่งต่อความยากจนข้ามรุ่นจะหมดไปในที่สุด