จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในร้านเกรย์ฮาวด์คาเฟ่ เมื่ออาจารย์สอนดนตรีท่านหนึ่งได้พบกับเมนูพิเศษจากโครงการ The Empty Plate Project ภายใต้แนวคิด ‘เปลี่ยนมื้ออดเป็นมื้ออิ่ม’ นำสู่ความสนใจในการหาข้อมูลจนพบว่า เงินค่าอาหารที่ใครก็ตามสั่งเมนูพิเศษนี้ จะถูกส่งไปสมทบในโครงการมื้ออาหารเช้าสำหรับเด็กนักเรียนยากจนพิเศษทั่วประเทศ
ด้วยอาหารมื้อหนึ่งนั้นเอง ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการจัดคอนเสิร์ต Beethoven’s 250TH ANIVERSARY: THE SEPTET ซึ่งจะนำรายได้จากการเข้าชมบริจาคในโครงการ ‘มื้อนี้พี่เลี้ยง’ ที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมมือกับภาคเอกชน คือ เกรฮาวด์ คาเฟ่, แกร็บ ประเทศไทย, เครือบริษัทแสงทองสหฟาร์มและอัครา กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ซีวา แอนิมัล เฮลธ์(ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เงินติดล้อ จำกัด ในการระดมทุนความร่วมมือพัฒนาระบบอาหาร เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนยากจนพิเศษที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
เพราะอาหารเช้าสำคัญมาก จึงไม่ควรมีใครต้องทนหิว
คุณธันยวัฒน์ ดิลกคุณานันท์ หรือ ‘คุณนุก’ ผู้เป็นทั้งอาจารย์และนักคลาริเน็ต ผู้มีประสบการณ์มากมายร่วมกับวงออเคสตราทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เจ้าของปริญญาเอกด้านการบรรเลงคลาริเน็ตจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สเตท สหรัฐอเมริกา และปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนดนตรีที่มหาวิทยาลัยจ้าวชิ่ง (Zhaoqing) มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เล่าว่า
มันเริ่มจากวันหนึ่งเราได้ไปกินข้าวที่ร้านเกรย์ฮาวด์แล้วพบกับแคมเปญ ‘มื้อนี้พี่เลี้ยง’ ซึ่งในเมนูนั้นเป็นภาพจานที่ว่างเปล่า กับข้อความว่า ‘สั่งทางนี้อิ่มทางนู้น’ ก็เริ่มสนใจ จึงเริ่มหาข้อมูลโครงการ
เราได้เห็นชื่อของ กสศ. ในเมนู เลยหาข้อมูลต่อจนเห็นว่าเป็นหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษาและคุณภาพชีวิตของเด็กๆ แล้วก็ดูรายละเอียดโครงการจนเข้าใจว่าคืออะไร เราก็ได้ไอเดียขึ้นมาว่าอยากจัดคอนเสิร์ตการกุศล เพื่อนำรายได้มาสมทบกับโครงการ จนเกิดเป็นงานนี้ขึ้นมา
“จริงๆ เราอยากทำคอนเสิร์ตอยู่แล้ว หลังจากต้องหยุดมานานจากสถานการณ์ COVID-19 ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนี้ยังกลับไปทำงานที่ประเทศจีนไม่ได้ ก็คิดกับเพื่อนนักดนตรีท่านอื่นๆ ว่าจะทำการแสดงกัน แล้วปีนี้เป็นปีครบรอบ 250 ปี ปีเกิดของบีโธเฟน (Ludwig van Beethoven, 1770-1827 คีตกวีและนักเปียโนชาวเยอรมัน) ซึ่งเป็นแผนที่เราอยากทำกันมาก่อนที่จะมี COVID-19 เสียอีก พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้น เราก็ตัดสินใจทำกันเลย โดยที่ทุกคนมีเจตนาร่วมกันหมดว่าจะนำเงินที่ได้ไปมอบให้โครงการของ กสศ.
“สิ่งที่แคมเปญนี้สะกิดใจให้เราอยากทำให้เป็นงานการกุศลเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ที่ผมเป็นคนเห็นความสำคัญของการกินอาหารทุกๆ มื้อ โดยเฉพาะอาหารเช้า การที่โครงการนี้เป็นการระดมทุนเพื่อให้น้องๆ ได้มีอาหารเช้าจึงเป็นเรื่องที่กระทบใจเรา เพราะผมรู้ว่าเวลาที่ท้องหิว การจะทำงานหรือไปเรียนหนังสือมันจะทำได้ไม่ดี ฉะนั้นผมคิดว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญกับทุกคน ไม่ควรมีใครต้องอด หรือไม่ควรมีเด็กๆ ที่ต้องทนหิวไปเรียนหนังสือ”
มือเล็กๆ จากคนจำนวนมาก จะช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมของเราได้
คุณนุก กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีความสนใจเกี่ยวกับปัญหาของเด็กๆ มาโดยตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยจัดงานแสดงคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อมอบเงินให้กับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมคลองเตยมาแล้ว และทุกครั้งที่มีโอกาส ก็อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือให้เด็กๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาคือคนสำคัญที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นพลังของสังคมในอนาคต
ขณะที่แคมเปญ ‘มื้อนี้พี่เลี้ยง’ ถือเป็นโครงการที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ก็สามารถร่วมบริจาคและมีส่วนร่วมช่วยเหลือให้น้องๆ และครอบครัวของเขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้
“ครั้งแรกที่เห็น เรารู้สึกชอบโครงการนี้ทันที เพราะทำให้เราเห็นภาพชัดว่าการที่เราสั่งเมนูพิเศษที่มีราคาเท่ากับอาหารหนึ่งจาน มันจะกลายไปเป็นอีกหนึ่งมื้อที่น้องๆ จะได้กิน ได้อิ่มไปด้วยกันกับเรา ผมมองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการหยิบยื่นความช่วยเหลือที่ใครก็สามารถทำได้ มันไม่ได้จำเป็นว่าเราต้องจัดงานใหญ่ๆ หรือมอบเงินก้อนใหญ่ให้เขา แต่มันสะท้อนว่าเงินจำนวนเล็กๆ จากคนกลุ่มหนึ่งนั้นสำคัญมากต่อคนที่ขาดโอกาสเพียงใด มันช่วยให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นได้มากแค่ไหน เพียงแค่คนในสังคมของเราช่วยกันคนละมือ คนละไม่มากแต่เมื่อจำนวนผู้ให้มีเยอะเพียงพอ มันก็สามารถทำให้ความช่วยเหลือแผ่กว้างไปได้มากยิ่งขึ้น”
คุณนุก กล่าวปิดท้ายว่า อย่างน้อยที่สุดอยากให้ทุกคนช่วยกันเป็นกระบอกเสียงที่จะส่งสารออกไป จากปากต่อปาก จากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง ให้คนอื่นๆ ที่เรารู้จักได้รับรู้และหันมาสนใจปัญหาของน้องๆ เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับที่การจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้ทำหน้าที่ส่งความตั้งใจออกไป ทำให้หลายๆ คนที่ไม่สามารถมาชมการแสดงได้แต่ก็ร่วมบริจาคเงินสมทบกันเข้ามา ตนมองว่าเพียงเท่านี้ทุนอาหารเช้าของน้องๆ ก็ยิ่งทวีเพิ่มขึ้นแล้ว “และผมมองว่านี่คือความสำคัญจริงๆ ของโครงการนี้”