องค์การยูนิเซฟ เผยรายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม และการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ครั้งที่ 1 (ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2565 ผ่านการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างในเมืองและชนบท จำนวน 2,583 ตัวอย่างในพื้นที่ทั่วประเทศจากกลุ่มเป้าหมายประชากรวัยแรงงานทั่วประเทศไทย โดยมีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กสศ. และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เข้าร่วมหารือเกี่ยวกับผลการสำรวจ ด้วยเป้าหมายเพื่อประเมินผลกระทบต่อสวัสดิการและสวัสดิภาพครัวเรือน และติดตามเส้นทางการฟื้นฟูในประชากรต่าง ๆ ในหลากหลายมิติ เช่น การจ้างงาน รายได้ ความั่นคงทางอาหาร การปรับตัว การศึกษา และสุขภาพ พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเพื่อหาแนวทางในการสำรวจครั้งต่อไป และเตรียมสรุปรายงานผลฉบับสมบูรณ์ ในปี 2566 เสนอเป็นข้อมูลตั้งต้นในการกำหนดเชิงนโยบายฟื้นฟูประเทศอย่างเป็นองค์รวม
Ms.Kyungsun Kim, UNICEF Representative for Thailand กล่าวว่า รายงานการสำรวจผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคม และการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ครั้งที่ 1 หลังวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้แสดงให้เห็นถึงสวัสดิภาพครัวเรือนไทย และทิศทางการฟื้นตัวของประชากรหลายกลุ่ม ในมิติการจ้างงาน รายได้ ความมั่นคงทางอาหาร การปรับตัว การศึกษา และสุขภาพ โดยแม้การสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชากรวัยแรงงานทั่วประเทศระบุว่า แนวโน้มสถานการณ์ทั่วไปของประชากรไทย เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของความเหลื่อมล้ำในประชากรบางกลุ่ม จึงเกิดคำถามที่ตามมาว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในเส้นทางสู่การฟื้นฟูในองค์รวม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังหรือไม่
“แม้ว่ารัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการที่หลากหลาย ซึ่งช่วยรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง แต่ผลสำรวจยังคงชี้ว่า ปัญหาความยากจนยังคงอยู่ และเป็นวาระสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะกับประชากรในกลุ่มด้อยโอกาสที่ต้องเจอปัญหาอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังส่งผลถึงเด็กเยาวชนจากครอบครัวเหล่านี้ ที่ประสบภาวะความรู้ถดถอยจำนวนมาก และไม่ได้รับการฟื้นฟูความรู้เท่าที่ควร ท่ามกลางสถานการณ์ของราคาอาหาร ค่าครองชีพ ราคาพลังงาน รวมถึงอัตราเงินเฟื้อที่ยังคงพุ่งสูงขึ้น”
Ms.Kyungsun Kim กล่าวว่า ผลการสำรวจครั้งนี้ ทิ้งคำถามที่ฝากไว้ให้คิดว่า เราจะทำอย่างไรให้ประชากรทุกกลุ่ม ฟื้นตัวได้อย่างเสมอภาคและยั่งยืน ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ใด เขาต้องได้รับโอกาสเข้าถึงการศึกษา บริการสาธารณสุข มีงานทำ มีรายได้ โดยการสำรวจครั้งนี้เป็นเพียงครั้งที่ 1 ซึ่งจะมีการสำรวจครั้งที่ 2 ตามมา และทางยูนิเซฟจะสรุปจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์ เพื่อเป็นข้อเสนอที่ช่วยในการกำหนดนโยบายของประเทศไทยใน 3-5 ปีต่อจากนี้ และหวังว่าการทำงานครั้งนี้จะช่วยปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ นำพาประเทศไทยไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคต โดยไม่มี ‘ใคร’ หรือ ‘ประชากรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง’ ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกต่อไป
ด้าน ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ข้อสรุปหนึ่งจากรายงานฉายให้เห็นภาพใหญ่ว่าสถานการณ์ของประเทศดีขึ้น ประเด็นที่น่าสนใจคือยังมีประชากรกลุ่มที่จะทำอย่างไรให้เขาเข้าถึงการฟื้นฟูให้ได้ ในการสำรวจจะนำเราไปหาข้อมูลที่จะสามารถศึกษาคนกลุ่มนี้ได้มากขึ้น พยายามออกแบบวิธีการที่จะพาเขากลับมา เพื่อตอบโจทย์การฟื้นฟูประเทศในองค์รวมให้ได้ ส่วนในเรื่องนโยบาย ต้องออกแบบมาตรการทางสังคมที่เหมาะสมกับสถานการณ์หลังโควิด-19 โดยทำความเข้าใจผ่านรายงานผลสำรวจต่าง ๆ
ประเด็นที่ชัดคือเรื่องการพัฒนาเด็กเยาวชน จากผลสำรวจมีประเด็นที่น่าสนใจว่าเด็กยังขาดความมั่นคงทางอาหาร ตรงนี้ต้องมีนโยบายเข้าไปช่วยเหลือให้ทั่วถึง ในส่วนของการศึกษา ต้องมีการนำความมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเข้ามา เช่นลดค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา ร่วมกับที่ภาครัฐมีนโยบายอยู่แล้ว ในแง่นี้ยูนิเซฟหรือหน่วยงานใดก็ตามอาจเข้ามาให้คำปรึกษาในระดับปฏิบัติการ ช่วยสำรวจพื้นที่ วางแผน และแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อทำงานในระดับพื้นที่ เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ระดับชาติ ต้องอาศัยความร่วมมือที่จริงจัง จึงจะตอบโจทย์การแก้ปัญหาความรู้ถดถอย และฟื้นฟูประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
สอดคล้องกับ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่กล่าวถึงรายงานว่า รายงานฉบับนี้ของยูนิเซฟ ถือว่ามีความสำคัญมากในช่วงเวลาที่ไทยกำลังฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตโควิด-19 ผลสำรวจนี้จะมีประโยชน์อย่างมากกับการกำหนดนโยบายของประเทศในอนาคตอันใกล้ เพื่อทำงานกับประชากรทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ กสศ. ได้ร่วมนำเสนอรายงาน ผลกระทบของโควิด-19 ต่อสถานการณ์การเรียนรู้ถดถอย (Learning Los) กับการฟื้นฟูคุณภาพการศึกษา (Learning Recovery) สำรวจค่าเฉลี่ยความพร้อมในการเรียนรู้ของเด็กเยาวชนทั่วประเทศ พบว่าความยากจนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเรียนรู้ โดยเด็กจากครัวเรือนยากจนที่สุด 10-20% ของประเทศ มีผลกระทบเรื่องการเรียนรู้ถดถอยสูงกว่าเด็กทั่วไป และนอกจากการเรียนรู้ด้านวิชาการ ยังพบภาวะถดถอยทางร่างกายในเด็กชั้นอนุบาล-ประถมศึกษาตอนต้น ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่มัดเล็กไม่สมวัย ขาดความมั่นใจในการเคลื่อนไหว หรือขาดทักษะด้านการสื่อสาร เป็นต้น
“ฐานข้อมูลการสำรวจที่เจาะลึกถึงต้นตอของปัญหา ทำให้ กสศ. ร่วมกับโรงเรียนภาคีในการสนับสนุนให้ครูและผู้ปกครอง ร่วมสังเกตเด็ก ๆ และเร่งหาวิธีการฟื้นฟูภาวะพัฒนาการทางร่างกายถดถอยให้ดีขึ้น อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูพัฒนาการรอบด้านของเด็ก ให้กลับมามีความพร้อมและความมั่นใจในการเรียนรู้อีกครั้ง”
ขณะเดียวกัน ดร.ไกรยส ได้เสนอว่า ภาครัฐจำเป็นต้องลงทุนกับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสอย่างจริงจัง และมีการประเมินผลผ่านข้อมูลการสำรวจ เช่นเดียวกับที่ยูนิเซฟจัดทำรายงานฉบับนี้ เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนกำหนดนโยบายที่มีคุณภาพ ส่งเสริมสนับสนุนคนทุกกลุ่มได้ถูกต้องตรงจุด ซึ่งจะเป็นย่างก้าวที่สำคัญของการฟื้นฟูประเทศจากโควิด-19 อย่างเสมอภาคในระยะยาว เพราะการสำรวจและติดตามข้อมูลจากประชากรทุกกลุ่มทั่วประเทศ จะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการค้นหามาตรการดูแลคนทุกกลุ่มอย่างถ้วนหน้า ทั้งยังสามารถมุ่งเป้าไปที่การสนับสนุนช่วยเหลือประชากรเฉพาะกลุ่มปัญหาได้อีกด้วย
ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการกองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า สามด้านของยุทธศาสตร์กระทรวงการคลังที่เชื่อมโยงกับองค์การยูนิเซฟ และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต หนึ่งคือนโยบายการคลังเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ รายงานของยูนิเซฟแสดงให้เห็นชัดเจนว่ากลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ต่อเนื่อง และมากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ โดยหลังจากนี้การพัฒนาข้อมูลที่ทำให้รัฐรู้จักประชาชนหรือผู้ประกอบการ จะนำไปสู่การช่วยเหลือเรื่องสวัสดิการสังคมได้มากขึ้น
ประเด็นที่สองคือการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันระยะปานกลางถึงระยะยาว รัฐต้องยกระดับศักยภาพของเด็กเยาวชนและแรงงานให้มากขึ้น โดยจากผลสำรวจจะเห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลคือเครื่องมือในการพัฒนา ซึ่งภาครัฐต้องลงทุนในส่วนนี้มากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมเป้าหมายต่าง ๆ ที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และทำยังไงถึงจะทำให้แรงงานได้เข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมที่จะเติบโตในอนาคต เช่นท่องเที่ยว หรือบริการสุขภาพ
“ยุทธศาสตร์ที่สามคือการรักษาความยั่งยืนของนโยบายการคลัง เรามีงบประมาณที่จำกัด ด้วยภาษีต่อ GDP ประเทศไทยอยู่ที่ 14% ขณะที่ฐานภาษียุโรปอยู่ที่ 30-35% ฉะนั้นนโยบายสวัสดิการสังคมถ้าเราไม่ขยายฐานภาษี ก็ต้องแลกมาด้วยระบบสวัสดิการที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เช่นช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้มีทางพัฒนาเติบโต ซึ่งในท้ายที่สุดนโยบายเจาะจงช่วยเหลือเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม อาจเป็นทางเลือกที่สำคัญของการฟื้นฟูประเทศในเป้าหมายระยะสั้น”