เอกชนในสหรัฐฯ ผนึกกำลังกับภาครัฐ ผุดโครงการ EdConnect มุ่งแจกฟรีไวไฟช่วยเด็กนักเรียนจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อเรียนหนังสือออนไลน์ในช่วงที่วิกฤตโควิด-19 ยังคงระบาด
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ U.S.News รายงานว่าความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้ โครงการ HCS EdConnect Program ในเขตเมือง Chattanooga และ Hamilton รัฐเทนเนสซีของสหรัฐฯ ที่ผู้นำภาคเอกชนและรัฐบาลตั้งเป้าบริการไวไฟฟรีให้กับเด็กเรียนราว 28,500 คนจาก 18,000 ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยซึ่งพิจารณาจากการสมัครเข้าร่วมโครงการมื้ออาหารฟรีโรงเรียน
ภายใต้การสนับสนุนจากโรงเรียนในเขต สำนักงานเมือง Chattanooga บริษัท EPS ซึ่งรับผิดชอบด้านการไฟฟ้าและเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงพันธมิตรอื่นๆ อีกหลายแห่ง
Jill Levine หัวหน้าแผนกนวัตกรรมและทางเลือกของโรงเรียนในเขต Hamilton ซึ่งดูแลโรงเรียนรัฐในเขต 79 แห่ง กล่าวว่า ทันทีที่มีสัญญาณว่าจะต้องปิดสถานศึกษาในพื้นที่อย่างกระทันหันในช่วงเดือน มี.ค. แล้วหันไปทำการเรียนการสอนออนไลน์แทนนี้ ประเด็นที่เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างวิตกก็คือความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล เพราะตัวเลขเบื้องต้นที่พบก็คือมีเด็กในพื้นที่หลายพันคนที่ไม่สามารถเข้าถึงการเรียนการสอนออนไลน์ได้
ทั้งนี้ สถานการณ์การศึกษาใน Chattanooga ถือได้ว่าไม่เลวร้ายเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในหลายรัฐทั่วสหรัฐฯ เพราะย้อนกลับไปในปี 2015 ทางเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในเวลานั้นจัดทำโครงการ NetBridge เสนอบรอดแบนด์ความเร็วสูงให้กับเด็กที่เข้าร่วมโครงการอาหารกลางวัน ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุไวรัสโควิด-19 ระบาด ทางทีมงานได้นำเสาสัญญาณไวไฟไปตั้งไวัในพื้นที่ย่านที่อยู่อาศัยขอผู้มีรายได้น้อยเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงฟรีไวไฟ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า วิธีการจัดการดังกล่าวจะยังคงไม่สามารถช่วยคลี่คลายอุปสรรคและความยุ่งยากของนักเรียนทุกคนในการเข้าถึงห้องเรียนออนไลน์จากที่บ้านได้ ส่งผลให้ช่วงปลายเดือน มี.ค. ทางการเมือง Chattanooga จึงจับมือกับโรงเรียน บริษัท EPB และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร The Enterprise Center รวมถึงผู้บริจาคอีกส่วนหนึ่งจัดทำโครงการ HCS EdConnect Program ให้บริการเครือข่ายไวไฟแก่เด็กนักเรียนยากจนโดยเสียค่าบริการใดๆ
Deb Socia ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์กร The Enterprise Center กล่าวว่า มีต้นทุนค่าใช้จ่ายประมาณ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการจัดกากรให้เด็กนักเรียนเข้าถึงฟรีไวไฟในช่วง 10 ปี บวกกับต้นทุนค่าโครงสร้างพื้นฐานอีก 8.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระนั้น เมื่อใดก็ตามที่การลงทุนเหล่านั้นติดตั้งเรียบร้อยค่าใช้จ่ายในการให้บริการฟรีไวไฟย่อมลดลงจนเพียงพอที่จะดำเนินต่อไปอย่างยังยืนได้
ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทางโรงเรียนในเขต Hamilton จะร่วมบริจาค 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทางการเมือง Chattanooga และ Hamilto ร่วมกันบริจาคอีก 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ บริษัทเอกชนและมูลนิธิต่าง เช่น Blue Cross Blue Shield Foundation of Tennessee และ the Smart City Venture Fund ที่บริจาครายละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับในส่วนที่เหลือก็ได้บริษัทรายย่อยในพื้นที่ช่วยกันสมทบตามกำลังศรัทธาจนกระทั้งได้ครบตามต้องการและเปิดให้ครอบครัวที่เข้าเกณฑ์มาลงชื่อในเดือน ก.ค. และเข้าไปติดตั้งฮาร์ดแวร์ของไวไฟให้กับบ้านที่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ในเดือน ส.ค.
จนถึงขณะนี้ ทางการ Chattanooga และ Hamilton ยังคงเปิดให้ครอบครัวยากจนในพื้นที่ยื่นขอรับการติดตั้งฮาร์ดแวร์ อย่าง routers ภายในบ้านของตนเองได้ และแม้จะเป็นโครงการน้องใหม่ที่เกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ภายในเวลาไม่ถึงปี โครงการดังกล่าวก็ให้ความช่วยเหลือเด็กในการเข้าถึงห้องเรียนออนไลน์ได้มากกว่า 10,000 คนแล้ว
ขณะเดียวกัน ทางเครือข่ายพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนโครงการดังกล่าวต่างเห็นตรงกันว่า โครงการนี้มีแนวโน้มว่าจะสามารถให้บริการได้เร็วกว่าแผนเบื้องต้นที่คาดการณ์ไว้ที่ 10 ปี โดย Andy Berke ผู้ว่าการเมือง Chattanooga กล่าวว่า โครงการดังกล่าวน่าจะถือเป็นแบบอย่างให้กับประเทศในการจัดสรรโครงสร้างพื้นฐานอย่างบรอดแบรนด์เพื่อให้ครอบครัวยากจนได้เข้าถึงไวไฟความเร็วสูง
โดย Berke คาดหวังว่า EdConnect จะสามารถปรับมุมมองที่ชาวอเมริกันมีต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น
เราไม่ได้สร้างถนนให้กับผู้คนโดยพิจารณาจากรายได้ของพวกเขาเท่านั้น และเราไม่ทำเช่นนั้นกับท่อระบายน้ำและท่อประปา ดังนั้น หากเราคิดว่าอินเทอร์เน็ตเป็นโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นสำหรับชีวิต มันจะเปลี่ยนวิธีที่เราจะจัดการแจกจ่ายมันเช่นกัน – Berke กล่าวสรุป
ที่มา : How Chattanooga Connected Low-Income Students to Free Wi-Fi
แปลและเรียบเรียง : นงลักษณ์ อัจนปัญญา