ตามที่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ 10 หน่วยงานของรัฐเปิดตัว “นโยบาย Thailand Zero Dropout” โดยมีเป้าหมายที่จะค้นหาเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา 1.02 ล้านคน ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใน 5 ปี
ซูฮยอน คิม (Soohyun Kim) ผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก ส่วนภูมิภาค และ คยองซอน คิม (Gyeongseong Kim) ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างสอดคล้องกันว่า การขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนให้กลับเข้าสู่การศึกษาหรือได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ตามศักยภาพตาม “นโยบาย Thailand Zero Dropout” เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ตามแนวทางขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN)
ซูฮยอน คิม (Soohyun Kim) ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงเทพฯ ขององค์การยูเนสโกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้แทนองค์การยูเนสโกประจำประเทศไทย สปป.ลาว เมียนมา และสิงคโปร์ (Director of the UNESCO Regional Office in Bangkok and Representative to Thailand, Myanmar, Lao PDR and Singapore) กล่าวว่า นโยบาย Thailand Zero Dropout แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของประเทศไทยในการสร้างการศึกษาที่เท่าเทียมและครอบคลุมเด็กและเยาวชนทุกกลุ่ม โดยมุ่งหวังว่าทุกคนจะได้รับโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตและไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เป็นเป้าหมายที่ทันต่อเหตุการณ์ และได้รับการยอมรับจากยูเนสโกภายใต้ “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 4” (SDG 4) เกี่ยวกับการสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียมกัน และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับทุกคน
ขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังได้มองเห็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลไทย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาอย่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข ที่ร่วมกันบูรณาการข้อมูลเพื่อระบุรายชื่อเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาได้อย่างครบถ้วนว่าเป็นระบบการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิผล
“ยูเนสโกมีสถิติของเด็กซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง เราพบว่ามีเด็กที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเพิ่มขึ้นทั่วโลก ปัญหานี้เป็นปัญหาร้ายแรง โดยเฉพาะกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการศึกษาล่าสุดของยูเนสโกและ OECD พบว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกจากการออกจากโรงเรียนกลางคันและช่องว่างทางการศึกษาอาจสูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2030 ขณะที่การลดจำนวนเด็กที่ออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดและเด็กที่ขาดทักษะพื้นฐานเพียง 10% จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP ประจำปีได้ 1 ถึง 2 %
“ประเทศไทยควรนำเสนอช่องทางการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น มีโปรแกรมการศึกษาทางเลือกและรูปแบบการเรียนรู้ที่ปรับให้เหมาะกับเด็ก ๆ กลุ่มนี้ ซึ่งมีความเร็วในการเรียนรู้และสถานการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน การเรียนรู้แบบแยกตามโจทย์ชีวิต วุฒิการศึกษาขั้นต่ำ และการฝึกอาชีพที่สามารถให้ทางเลือกการเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับนักเรียนที่อาจประสบปัญหาการเรียนในระบบโรงเรียนแบบดั้งเดิม ใช้เทคโนโลยีและการเรียนรู้แบบผสมผสานจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมได้ มีเนื้อหาดิจิทัลที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะ จะสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและศึกษาต่อได้ บทบาทของผู้นำท้องถิ่นและการระดมทรัพยากรร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชน จะช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนของโครงการ Thailand Zero Dropout” ผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
ด้าน คยองซอน คิม (Gyeongseong Kim) ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย (UNICEF Representative for Thailand) กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ว่า นโยบายลดจำนวนเด็กออกจากระบบการศึกษา Thailand Zero Dropout จะช่วยนำเด็กที่มีความเสี่ยงกลับเข้าสู่ระบบได้ และถือเป็นโอกาสสำคัญในการแก้ไขอุปสรรคในระบบการศึกษาได้อย่างทันท่วงที
“การออกจากโรงเรียนกลางคันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและแฝงอยู่ภายใต้ปัจจัยต่าง ๆ มากมาย เช่น ผลพวกจากการระบาดของโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จากการสำรวจคลัสเตอร์ตัวชี้วัดหลายประการ (MICS) ของ UNICEF ซึ่งดำเนินการร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ยืนยันว่าอัตราการเข้าเรียนลดลงตั้งแต่ปี 2563 โดยเฉพาะเด็ก ๆ จากครอบครัวยากจน และสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือเด็ก ๆ จำนวนมากออกจากโรงเรียนในช่วงการศึกษาภาคบังคับ เพราะขาดต้นทุนในการเรียนซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับครัวเรือนยากจน เช่น ค่าโรงเรียน ค่าเดินทาง ค่าเครื่องแบบ และค่าอาหาร จำนวนเด็กที่ออกจากโรงเรียนกลางคันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยซึ่งสูงอยู่แล้วสูงขึ้นไปอีก และยังทำให้ขาดแคลนทุนมนุษย์ที่จำเป็นยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วย”
ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวอีกว่า นโยบาย Thailand Zero Dropout ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมในการนำเด็ก ๆ เหล่านี้กลับคืนสู่ระบบการศึกษา การเรียนรู้ เพราะเป็นนโยบายที่ครอบคลุมองค์ประกอบหลายด้าน เช่น กลไกสนับสนุนแบบรายบุคคล หลักสูตรการเรียนระยะสั้น การให้คำปรึกษาและคำแนะนำควบคู่ไปกับการติดตามเด็ก ๆ โดยใช้ข้อมูลเป็นหลัก การส่งเสริมแนวทางแบบบูรณาการระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการศึกษา สังคม และเศรษฐกิจของเด็ก ให้พวกเขากลับเข้าสู่การศึกษาหรือการทำงาน
“การบรรลุเป้าหมายนี้และการเตรียมพร้อมป้องกันไม่ให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาอีกครั้งถือเป็นสิ่งสำคัญ หากเราต้องการบรรลุเป้าหมาย SDG 4 ด้านการศึกษาของประเทศไทย สามารถเรียนรู้จากประเทศอื่น ๆ ที่ดำเนินกลไกนี้ได้สำเร็จมาแล้ว เช่น ในสหรัฐอเมริกา ลิทัวเนีย สหราชอาณาจักร โคโซโว และมาเลเซีย ประเทศต่าง ๆ นี้ได้เปิดตัว ‘ระบบเตือนภัยล่วงหน้า’ (Early Warning System) เพื่อติดตามการเข้าเรียน พฤติกรรม และผลการเรียนในฐานะตัวบ่งชี้การลาออกที่อาจเกิดขึ้น จากนั้นจึงใช้ข้อมูลนี้ในการสนับสนุนที่ปรับแต่งให้เหมาะกับนักเรียน และลดอัตราการลาออก สร้างทางเลือกการศึกษาที่ยืดหยุ่น มอบความรู้และทักษะผ่านประสบการณ์การทำงาน ความรับผิดชอบในครัวเรือน การฝึกอบรมที่ไม่เป็นทางการ งานอดิเรก การทำงานอาสาสมัคร และความรู้บนอินเทอร์เน็ต
“การทำให้เด็กกว่า 1 ล้านคน ได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง หรือการทำงานที่ก้าวเข้าสู่ทางเลือกการศึกษาที่ยืดหยุ่น ถือเป็นก้าวสำคัญของการศึกษาไทยในการสร้างระบบการศึกษาที่รับรองได้ว่าไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้อย่างแท้จริง” ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าว