เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้บรรยายเรื่อง “ความท้าทายของ Thailand Zero Dropout” ในการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับภูมิภาคของสถานศึกษาในโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาใน สายอาชีพ ที่เป็นทางเลือกสำคัญสำหรับเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา เพื่อช่วยให้พวกเขามีโอกาสในการพัฒนาทักษะและสร้างอาชีพเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า Thailand Zero Dropout เป็นนโยบายที่มีเป้าหมายในการค้นหาเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาและนำพวกเขากลับมาสู่การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับโจทย์ชีวิตและความจำเป็นของแต่ละคน ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า การเรียนในสายอาชีพเป็นทางเลือกที่สำคัญ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาทักษะในการทำงาน แต่ยังสามารถเรียนไปพร้อมกับการทำงานหารายได้ เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต
นโยบาย Thailand Zero Dropout ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและ กสศ. โดยตระหนักถึงสถานการณ์เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาในประเทศไทยว่าเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง กสศ. จึงได้ร่วมมือกับ 11 หน่วยงานในการตามหาเด็กและเยาวชนอายุ 3-18 ปี ที่หลุดจากระบบการศึกษา จำนวน 982,304 คน โดยมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นโยบาย Thailand Zero Dropout ซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรีออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ยังได้ผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลกลางสำหรับการติดตามและช่วยเหลือเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาในระยะยาว โดยมีกลไกคณะกรรมการระดับจังหวัด บูรณาการข้อมูลสำหรับติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ ดูแลเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านระบบการจัดการรายกรณี มาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพและเหมาะสมกับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย รวมทั้งมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษาหรือเรียนรู้

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดี ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประกาศความสำเร็จว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 แห่งเขตทั่วประเทศ สามารถค้นหาเด็กตกหล่นและเด็กออกจากระบบกลางคันได้ครบแล้ว 100% พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศว่า จะเร่งพัฒนาแนวปฏิบัติด้านการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นด้วยแนวทาง “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” โดยส่งเสริมให้สถานศึกษาในสังกัด สพฐ. จัดการศึกษาให้เด็กและเยาวชนที่มีเงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิต ยังคงอยู่ในระบบการศึกษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์ชีวิตผ่านแนวทางต่าง ๆ เช่น นวัตกรรมโรงเรียนมือถือ (Mobile School) นวัตกรรม 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ที่ทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้ทุกสถานที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) ศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 เชื่อมโยงการเรียนรู้กับชุมชน ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เรียนผ่านการเก็บ Credit Bank ทำให้สามารถเรียนไปด้วย ทำงานหารายได้ไปด้วย (Learn to Earn) เพื่อตอบโจทย์ชีวิตผู้เรียน

การเรียนสายอาชีพ จึงเป็นทางเลือกและทางออกหนึ่งสำหรับเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่ตัดสินใจกลับมาเรียน และตัดสินใจเรียนไปด้วยทำงานหารายได้ไปด้วย โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบวิชาการแต่มีความสนใจในการลงมือปฏิบัติ ชอบเรื่องการพัฒนาฝีมือ พัฒนาสมรรถนะ วิชาที่เกี่ยวกับงานช่างฝีมือก็สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ ซึ่งเชื่อมั่นว่า การส่งเสริมการเรียนสายอาชีพ จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการ ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาได้
นอกจากนี้จุดแข็งอีกส่วนหนึ่งก็คือ การเรียนสายอาชีพ มีรูปแบบการเรียนแบบทวิภาคีที่สามารถสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายภาคธุรกิจเอกชนในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศในการฝึกปฏิบัติงานจริง การส่งเสริมโอกาสการมีงานทำ การเรียนรู้เรื่องการตลาด การเรียนรู้ที่ทันสมัย สามารถเพิ่มพูนประสบการณ์ หรือทักษะที่จำเป็น ต่อการประกอบอาชีพได้
ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ ยังได้กล่าวถึงความท้าทายของสถานศึกษาสายอาชีพในการออกแบบการเรียนรู้ที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพเพื่อให้เด็กและเยาวชนมีทักษะที่สามารถทำงานได้จริงและสร้างรายได้ที่เพียงพอ การส่งเสริมการเรียนสายอาชีพจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามรุ่นและสร้างโอกาสให้กับครอบครัวได้ โดย กสศ. เคยสนับสนุนการจัดการศึกษาด้วยหลักสูตรระยะสั้นในระดับอาชีวะศึกษา เช่น หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล หรือหลักสูตรผู้ช่วยทันตแพทย์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะเฉพาะในการทำงาน ใช้เวลาเรียนสั้น และเรียนจบแล้วมีงานทำ

“จากผลการประเมินของ โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง พบว่า การลงทุนในสายอาชีพสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยทุก 1 บาทที่ลงทุนสามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับสังคมถึง 1.93 บาท ซึ่งการศึกษาในสายอาชีพช่วยให้เด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถมีโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า โอกาสทางการศึกษาคืออนาคตและพลังบวกที่ส่งต่อไปถึงคนอื่น ๆ ได้ สามารถทำให้เด็กหลายคน มองเห็นอนาคตในทางบวก และมองว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยพวกเขาสร้างอนาคต สร้างคุณภาพชีวิต จนสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้
“ผลลัพธ์ที่จะตามมาคือ เมื่อเด็กและเยาวชนเหล่านี้ใช้การเรียนสายอาชีพ สร้างอนาคตที่ดีได้ พวกเขาจะกลายเป็นไอดอล เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กคนอื่น ๆ ที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งในประเด็นนี้ต้องไม่ลืมว่าเด็กแต่ละคนมีพลังในการสื่อสาร สามารถส่งต่อประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ ไปถึงเด็กคนอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะส่งผลให้เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาอีกหลายคน กล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้น จึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการเรียนสายอาชีพ จะเป็นหนึ่งในคานงัดสำคัญที่จะเข้ามาดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบการศึกษาได้” ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าว