เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาข้อเสนอโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปี 2568 (ระยะที่ 1) ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยเชิญสถานศึกษาภาครัฐและเอกชนที่จัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และอนุปริญญา รวมถึงหลักสูตรประกาศนียบัตรทุนเรียน 1 ปี หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล และผู้ช่วยทันตแพทย์ โดยมีสถานศึกษาที่ผ่านการพิจารณาโครงการขั้นต้นจำนวน 53 แห่ง จาก 28 จังหวัด เข้าร่วมประชุมกว่า 300 คน
ในการประชุมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมได้ฟังการชี้แจงและสร้างความเข้าใจในแนวคิดและหลักการของโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปี 2568 รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงข้อเสนอโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงของสถานศึกษาสายอาชีพ นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการแนะแนวประชาสัมพันธ์ การค้นหาและคัดกรองความยากจน รวมถึงกระบวนการคัดเลือกนักศึกษาผู้รับทุน รวมทั้งเครื่องมือการคัดกรองความขาดแคลนทุนทรัพย์ของนักเรียนนักศึกษากลุ่มเป้าหมาย


โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง กสศ. เป็นทุนให้เปล่าที่สร้างโอกาสทางการศึกษาในระดับสูงกว่าภาคบังคับแก่เยาวชนจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำสุดร้อยละ 20 ล่างของประเทศ ให้มีโอกาสศึกษาต่อในสาขาที่ตลาดแรงงานต้องการ อีกทั้งยังสนับสนุนให้สถานศึกษาสายอาชีพพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน สร้างสมรรถนะ และส่งเสริมภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในรูปแบบทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนควบคู่กับระบบป้องกันการหลุดจากการศึกษาและส่งเสริมสุขภาพจิตวัยรุ่น
สถานศึกษาและโครงการที่ผ่านการคัดเลือกในปี 2568 จะได้รับทุนพัฒนาสถานศึกษาและทุนการศึกษาแก่นักศึกษา รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,500 ทุน พร้อมกิจกรรมยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน การสนับสนุนทางวิชาการโดยคณะผู้เชี่ยวชาญ การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างเครือข่ายการทำงานระหว่างสถานศึกษา

คุณพัฒนพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวถึงโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปี 2568 ว่าเป็นโจทย์การทำงานกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ แม้ว่างานของ กสศ. ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนเด็กเยาวชนในระดับการศึกษาภาคบังคับ ทั้งในด้านการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้และการประคองให้ผู้เรียนสามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้อย่างยั่งยืน แต่ภารกิจในการสนับสนุนเยาวชนที่พ้นจากการศึกษาภาคบังคับและมีเส้นทางพัฒนาต่อเนื่องก็เป็นโจทย์ที่สำคัญไม่แพ้กัน ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงจึงเป็นตัวแบบของการทำงานร่วมกับเยาวชนกลุ่มนี้
ตั้งแต่เริ่มต้นร่วมงานกับสถานศึกษาและนักศึกษาทุนรุ่นแรกในปี 2563 คณะทำงานได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ 3 ประการ คือ 1) การดูแลและส่งเสริมเยาวชนที่จบการศึกษาภาคบังคับให้ได้รับโอกาสศึกษาต่อในสายอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาที่ใช้เวลาไม่นานและสามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริง 2) การพัฒนาระบบผลิตบุคลากรสายอาชีพและสร้างเครือข่ายอาชีวศึกษาให้แข็งแรง และ 3) การผลักดันให้เกิดทักษะและศักยภาพในแต่ละสาขาวิชาชีพ เพื่อให้มั่นใจว่านักศึกษาสายอาชีวะสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้จริง
จนถึงปี 2568 หลังจากที่โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงได้ผลิตและพัฒนานักศึกษาหลายรุ่น คณะทำงานโครงการฯ จึงพร้อมยกระดับโจทย์ไปสู่ความท้าทายที่สูงขึ้น โดยในปีนี้จะมีการปรับลดอัตราทุนเหลือเพียง 1,500 คนต่อรุ่น เพื่อทดลองโมเดลการใช้งบประมาณน้อยลงแต่คาดหวังผลลัพธ์ที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีรูปแบบใหม่ของการให้ทุนที่มุ่งเน้นการสอดคล้องกับการพัฒนากำลังคนในแต่ละจังหวัด ด้วยการสร้างต้นแบบการจัดการศึกษาสายอาชีพระดับพื้นที่ ร่วมกับสภาหอการค้าและภาคอุตสาหกรรมจังหวัด
“ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงไม่ได้มุ่งเน้นแค่การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมุ่งพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนด้วย เชื่อว่าหากเยาวชนได้รับการศึกษาระดับสูงและสามารถก้าวสู่เส้นทางอาชีพได้อย่างมั่นคง จะไม่เพียงช่วยให้ครัวเรือนหนึ่งพ้นจากความยากจน แต่ยังช่วยให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางด้วย
“ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในโครงการ ตั้งแต่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) วิทยาลัยชุมชน (วชช.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนโครงการ ซึ่ง กสศ. หวังว่าในปี 2568 จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศไทยอย่างยั่งยืนต่อไป”


คุณธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. กล่าวถึงการทำงานในปีนี้ที่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา โดยเน้นให้ทุกฝ่ายทำความเข้าใจสถานการณ์การศึกษาของเยาวชนกลุ่มเป้าหมายทุน ซึ่งคือ นักเรียนที่จบการศึกษาชั้น ม.6 ปวช. หรือเทียบเท่า จากข้อมูลการศึกษาของ กสศ. พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดสรรทุนเสมอภาคมีประมาณ 168,000 คนต่อรุ่น แต่เมื่อจบ ม.3 มีเด็กหลุดออกจากระบบประมาณร้อยละ 20 และในกลุ่มที่เหลือจะมีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้นที่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ข้อมูลนี้นำมาสู่การพัฒนาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงปี 2568 ที่มุ่งยกระดับการศึกษาของเยาวชนกลุ่มนี้ให้สามารถต่อยอดการศึกษาจากระดับ ม.6 หรือ ปวช. โดยเพิ่มโอกาสใหม่ในการศึกษาต่อให้มากขึ้น
คุณธันว์ธิดา ยังกล่าวถึงข้อมูลการศึกษาของเยาวชนในช่วงวัย 15-24 ปี ที่ไม่อยู่ในการศึกษา การทำงาน หรือการฝึกอบรม (กลุ่ม NEET) ซึ่งมีประมาณ 1.4 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการนำเยาวชนกลุ่มนี้เข้าสู่การศึกษาและตลาดแรงงานสามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมหาศาล
นอกจากนี้ การศึกษาของผู้ปกครองในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน พบว่าร้อยละ 50 จบเพียงระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 30 จบมัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่า ซึ่งส่งผลให้เด็กในครัวเรือนเหล่านี้มีโอกาสต่ำที่จะจบการศึกษาระดับสูงกว่า ม.6 ดังนั้น การให้โอกาสการศึกษาที่สูงขึ้นจะช่วยตัดวงจรความยากจนและสร้างโอกาสให้เยาวชนกลุ่มนี้เป็นคนรุ่นแรกในครอบครัวที่จบการศึกษาสูงสุด

สำหรับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงในปี 2568 จะเน้นการสร้างรายได้ในระดับแรงงานฝีมือ ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้เรียนในระยะยาว โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อช่วยยกระดับรายได้เฉลี่ยของประชากรให้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
ในปีนี้ ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงจะเปิดรับทุนใน 2 ประเภท ได้แก่ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ระดับอนุปริญญา และหลักสูตรประกาศนียบัตร ทุนเรียน 1 ปี และทุนระยะสั้น 6 เดือน ในหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ พนักงานให้การดูแล โดยมีทุนพิเศษ ‘ทุนพัฒนากำลังคนสายอาชีพระดับจังหวัด’ สำหรับผู้ขอรับทุนที่ทำงานและเรียนอยู่ในภูมิลำเนาของตนเองใน 3 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น กำแพงเพชร และ ภูเก็ต
“ปีนี้มีสถานศึกษาร่วมเสนอโปรแกรมทุนจำนวน 78 แห่ง จาก 86 โครงการ คิดเป็น 3,430 ทุน กสศ. จะให้ทุนจำนวน 1,500 ทุน โดยคัดเลือกสถานศึกษาที่ตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการทำงานที่มีประสิทธิภาพที่สุด และคำนึงถึงความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการค้นหานักศึกษาทุน ก่อนที่จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านอื่น ๆ ต่อไป”

คุณนพพร สุวรรณรุจิ อนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับสูงกว่าภาคบังคับ ได้กล่าวถึงแนวทางการค้นหา คัดเลือก และคัดกรองผู้รับทุนในโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปี 2568 โดยเน้นให้สถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการยึดหลักการสำคัญ 5 ข้อ ได้แก่ 1. การมีส่วนร่วมกับชุมชนและสถานศึกษาในพื้นที่ 2. การทำงานเชิงรุกโดยการลงพื้นที่เพื่อหาเด็กที่ตรงตามคุณสมบัติ 3. ความถูกต้องและครบถ้วนตามประกาศโครงการ 4. ขั้นตอนการทำงานที่โปร่งใสและพิสูจน์ได้ 5. การให้ความเป็นธรรมกับผู้สมัครทุกคน
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกผู้ขอรับทุนจะพิจารณาจาก 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. ขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งหมายถึงรายได้ครัวเรือนไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน และมิติความด้อยโอกาสอื่น ๆ เช่น พิการ กำพร้า หรือเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม โดยต้องมีการเยี่ยมบ้านทุกกรณี (ยกเว้นผู้ที่ กสศ. มีฐานข้อมูลอยู่แล้ว) 2. ศักยภาพของผู้ขอรับทุน วัดจากผลการเรียนใน 3 หรือ 5 ภาคการศึกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 3.00 หรือ 2.50 หากมีผลงานนวัตกรรมหรือรางวัลจากการประกวดต่าง ๆ หรือในประเภททุน 1 ปี/6 เดือน สามารถพิจารณาจากประสบการณ์การทำงานในสถานประกอบการร่วมด้วย 3. การพิจารณาคุณสมบัติเฉพาะ เช่น เจตคติต่อการเรียนสายอาชีพ พฤติกรรม ความสนใจ และทักษะในสาขาที่เลือกเรียน
ในปี 2568 นี้ นักศึกษาจะเข้าสู่สถาบันได้ทั้งจากการสมัครด้วยตนเองและการทำงานเชิงรุกของสถานศึกษาในการพบเด็กที่ตรงคุณสมบัติ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดให้หน่วยงานสามฝ่ายสามารถเสนอชื่อเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ 1. หน่วยงานในสังกัดกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน 2. คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาจังหวัด (Thailand Zero Dropout) ซึ่งสามารถรับพิจารณาเด็กที่จบการศึกษาในปี 2565-2567 3. ครูที่ได้รับรางวัลจากมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ได้แก่ ครูขวัญศิษย์ ครูยิ่งคุณ ครูคุณากร และครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี

ผศ.ปานเพชร ชินินทร อนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับสูงกว่าภาคบังคับ ได้ให้คำแนะนำแก่สถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงว่า หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือ การสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันที่อยู่ในจังหวัดเดียวกันหรือภูมิภาคใกล้เคียง โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสาขาวิชาต่าง ๆ ของสถาบันที่ร่วมโครงการ จะช่วยให้การค้นหาผู้เรียนสามารถส่งต่อไปยังสาขาวิชาที่เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละบุคคลได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาต่อในสาขาที่สนใจและสามารถต่อยอดไปสู่เส้นทางอาชีพในอนาคตได้
“การค้นหาผู้เรียนจะต้องมุ่งเน้นที่ศักยภาพและความสนใจในสาขาวิชาเป็นหลัก ไม่ควรใช้สิ่งที่จะได้รับจากทุนเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ดังนั้นนอกจากการสร้างเครือข่ายส่งต่อผู้ขอรับทุนแล้ว สถานศึกษาทุกแห่งยังจำเป็นต้องมีระบบการประเมินศักยภาพของผู้ขอรับทุน โดยการวัดความรู้พื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ รวมถึงทักษะทางอาชีพ เพื่อให้มั่นใจว่า นักศึกษาทุนที่ได้รับเลือกจะมีศักยภาพในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้เต็มที่ อีกทั้งข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุดในอนาคต”