เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ณ โรงเรียนหนองน้ำใส ตำบลหนองน้ำใส อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ให้การต้อนรับนายประเสริฐ จันทรรวงทองรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ระดับชาติ พร้อมกับนางสาวณหทัย ทิวไผ่งาม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนฯ เพื่อเดินหน้าผลักดัน ‘โคราชโมเดล เด็กทุกคนต้องได้เรียน’ และคณะ ลงพื้นที่โรงเรียนหนองน้ำใส ต.หนองน้ำใส อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา
โดยรองนายกรัฐมนตรีฯ และคณะได้ลงพื้นที่รับฟังการทำงาน ‘สีคิ้วโมเดล’ ซึ่งเป็นหนึ่งในอำเภอต้นแบบ Thailand Zero Dropout’ พร้อมกันนี้ยังได้มอบนโยบาย Thailand Zero Dropout แก่หน่วยงานและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 333 แห่งในจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นได้เยี่ยมชม ‘ศูนย์ดิจิทัลชุมชนโรงเรียนหนองน้ำใส ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ’ ตลอดจนรับฟังกรณีตัวอย่างการช่วยเหลือเด็กนอกระบบในพื้นที่ตำบลหนองน้ำใส และพบปะอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนในตำบลหนองน้ำใส อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวถึงการทำงาน Thailand Zero Dropout ว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และศึกษาธิการจังหวัด รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน และให้ร่วมมือกับ กสศ. และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ที่มีแพลตฟอร์ม EWE หรือ ‘อี-วี่’ (E-workforce ecosystem) ในการพัฒนากำลังคนบนมาตรฐานของมืออาชีพ เพื่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ยั่งยืน รวมถึงผลักดันให้เกิดระบบการเทียบโอนสมรรถนะที่มีประสิทธิภาพและเที่ยงตรง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชากรทุกช่วงวัย และเป็นมาตรการรองรับการช่วยเหลือของเด็กเยาวชนกลุ่มที่หลุดจากระบบการศึกษา
ทั้งนี้ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอสนับสนุนให้มีการจัดตั้งและใช้ศูนย์ดิจิทัลชุมชน เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับการค้นคว้าหาข้อมูลและองค์ความรู้ต่าง ๆ สำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชนทุกคน โดยเฉพาะการส่งเสริมเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตนอกเวลาเรียน และเป็นเครื่องมือเข้าถึงความรู้ของกลุ่มเด็กนอกระบบการศึกษาในการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ทุกที่ทุกเวลา ผ่านโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางภาครัฐ เพื่อรองรับการพัฒนาทักษะดิจิทัล การเรียนรู้เพื่อมีรายได้ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Leam to Earn Platform)
“ศูนย์ดิจิทัลชุมชนจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ โดยมีการจัดเก็บข้อมูลด้านการศึกษา การฝึกอบรม การจัดหางาน รวมถึงความต้องการของตลาดแรงงาน และมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่มีพันธกิจเกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการ เพื่อให้เด็กและเยาวชน ได้เรียนรู้ที่ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และสามารถนำประสบการณ์มาเป็นอาสาสมัครดิจิทัลชุมชน (อสด.) ในลักษณะเครือข่ายให้ความรู้ด้านดิจิทัล และสร้างงานและสร้างอาชีพแก่คนในชุมชน เพื่อให้บุคลากรในจังหวัดมีคุณภาพและเป็นกำลังพัฒนาประเทศชาติต่อไป ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อการศึกษาเรียนรู้ได้ โดย ณ วันนี้ได้มีศูนย์ ฯ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 1,722 แห่ง และจะเพิ่มเติมอีก 500 แห่งในปี 2568
“โอกาสนี้ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญ กับการขับเคลื่อนให้เกิดการนำ ‘โคราชโมเดล เด็กทุกคนต้องได้เรียน’ ไปใช้ต่อยอดบูรณาการในทุกพื้นที่ ซึ่งการทำงานจากนี้ต้องจริงจัง ทุ่มเท เพื่อให้การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์เกิดขึ้นจริงได้”
นายสานิตย์ ศรีทวี นายอำเภอสีคิ้ว กล่าวรายงานความคืบหน้าของ ‘สีคิ้วโมเดล’ อำเภอต้นแบบ Thailand Zero Dropout’ ภายใต้แนวคิด ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ ว่ามุ่งเน้นที่การสร้างกลไกช่วยเหลือติดตามเพื่อป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศไทยเผชิญปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษา อันส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ผนวกกับอัตราการเกิดของเด็กและเยาวชนไทยต่ำกว่า 5 แสนคนต่อปี อันหมายถึงการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ (Complete Aged Society)
นายอำเภอสีคิ้ว กล่าวว่า ปัจจุบันในพื้นที่อำเภอสีคิ้ว มีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาจำนวน 1,600 คน ใน 12 ตำบล จึงได้ดำเนินการค้นหากลุ่มเป้าหมายที่หลุดออกจากระบบการศึกษาให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และวางแนวทางในการแก้ไข ช่วยเหลือ และป้องกันปัญหาเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาตามเป้าหมาย โดยทำงานผ่านระบบสารสนเทศ Thailand Zero Dropout จนสามารถติดตามช่วยเหลือเด็กเยาวชนผ่านเครือข่ายสหวิชาชีพ (Case Management System) และนำเข้าสู่การจัดการเรียนรู้แบบยึดหยุ่น
“การดำเนินการงานครั้งนี้ อำเภอสีคิ้วเป็นต้นแบบในการสร้างกลไกติดตามช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา และจัดสรรการช่วยเหลือที่เหมาะสมตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน เพื่อลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ โดยใช้ ‘สีคิ้วโมเดล’ เป็นแนวทางนำร่อง ผ่านแนวทางการดำเนินงานโดยสร้างฐานข้อมูลที่ครอบคลุมร่วมกับ กสศ. ศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร เพื่อดำเนินการเก็บข้อมูลเชิงลึกของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ร้อมตรวจสอบสถานการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
“สำหรับกลุ่มเด็กนอกระบบการศึกษาในอำเภอสีคิ้ว สามารถใช้ศูนย์ดิจิทัลชุมชน เพื่อการศึกษาเรียนรู้ได้ ที่เด็กและเยาวชนและประชาชนทุกคนสามารถเข้าไปใช้บริการได้ เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าเรียนรู้ ตลอดจนมีอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) จำนวน 69 คนในอำเภอสีคิ้ว ที่พร้อมให้ความรู้ด้านดิจิทัล และเป็นเครือข่ายในการสร้างงานและสร้างอาชีพแก่คนในชุมชน และแพลตฟอร์ม EWE (อีวี่) (E-workforce ecosystem) ของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ในการพัฒนากำลังคนด้วยมาตรฐานอาชีพให้เป็นมืออาชีพ และจัดทำข้อมูลร่วมกับ กสศ. ภายใต้นโยบาย Thailand Zero Dropout
“ในส่วนของตำบลหนองน้ำใส มีข้อมูลระบุว่า มีทั้งหมด 232 คน ซึ่งจากที่ได้ติดตามข้อมูลเด็กทั้ง 232 คน พบว่า เด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาที่หลุดจากระบบมีเพียง 97 ราย ส่วนที่เหลือ ทางเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว และมีแผนที่จะขยายโมเดลของอำเภอสีคิ้วให้ครบทั้ง 12 ตำบล 15 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อที่จะดูแลเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า จากมติของคณะรัฐมนตรีที่รับทราบถึงปัญหาสถานการณ์เด็กหลุดจากระบบการศึกษา ส่งผลให้หน่วยงานระดับจังหวัดและกลไกท้องถิ่นสามารถเริ่มทำงานในการตามเด็กกลับมาเรียนได้อย่างเต็มที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนั่งหัวโต๊ะทีมติดตามเด็ก แต่ละจังหวัดสามารถออกแบบได้เองว่าจะใช้หน่วยงานใดมาช่วยพาเด็กกลับมาเรียน เช่น บางจังหวัดเลือกอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) บางจังหวัดเลือก อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นต้น
“เมื่อเริ่มกระบวนการติดตามเด็กและเยาวชนใน 25 จังหวัด แต่ละทีมจะได้ข้อมูลของเด็กนอกระบบการศึกษาที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ข้อมูลที่ได้จะนำไปคิดเป็นนโยบายเพื่อช่วยเหลือเด็กได้อย่างตรงจุด พร้อมขยายพื้นที่ช่วยเหลือให้กว้างขึ้นในปี 2568”
ดร.ไกรยส ย้ำว่า เด็กแต่ละคนที่ออกจากระบบการศึกษาไป ล้วนมีเหตุจำเป็นที่ทำให้พวกเขาต้องละทิ้งการศึกษา ทั้งปัญหาความยากจน สภาพร่างกายที่ไม่พร้อม อยู่ในถิ่นทุรกันดาร หรืออยู่ในวังวนของความรุนแรง ดังนั้น ระบบการศึกษาต้องยืดหยุ่นให้มากขึ้น เรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ต้องมีภาคเอกชนรับช่วงต่อหลังจบการศึกษา เพื่อให้พวกเขาได้มีงานทำและมีโอกาสหลุดพ้นจากกับดักของความยากจนได้
“โดยเชื่อมั่นว่าท้องถิ่นเป็นกลไกและพลวัตสำคัญในการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ตามศักยภาพ หรือ ‘Thailand Zero Dropout’ และเชื่อว่าท้องถิ่นทุกแห่ง มีศักยภาพในการบูรณาการการค้นหาเด็กเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษา และพากลับเข้าสู่ระบบการศึกษา”
ขณะเดียวกัน รองนายกรัฐมนตรีฯ ยังได้มอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการ 4 จังหวัด ประกอบด้วย นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ ให้ดำเนินการแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาตามนโยบาย Thailand Zero Dropout ของรัฐบาล ในซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2567 พบว่าใน 4 จังหวัดได้มีการพาเด็กเยาวชนเข้าสู่การศึกษาได้แล้วราว 1 ใน 3 โดยนครราชสีมาพากลับมาแล้ว 10,325 คน (35.7%) ชัยภูมิ 3,518 คน (34.4%) บุรีรัมย์ 5,40 คน (30.7%) และสุรินทร์ 3,878 คน (30.5%) และจากนี้จะมีการค้นพบและพากลับสู่การเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง