‘ครูแกนนํา’ และ ‘นักจัดการเรียนรู้’ คือกุญแจสำคัญที่จะกรุยทางให้กับแนวทาง Active Learning และความเสมอภาคทางการศึกษานั้น จะเกิดขึ้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อครูปลูก เด็กปรับ และเครือข่ายได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เขตพื้นที่การศึกษา และโรงเรียนต้นแบบจาก 10 จังหวัด ชวนถอดบทเรียนที่น่าสนใจจาก ‘โครงการพัฒนานักจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สู่การขยายผลพื้นที่ต้นแบบ’ ที่จะเตรียมทักษะของผู้เรียนให้พร้อมรับมือกับโลกยุคใหม่ล่าสุด ด้วยรูปแบบการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเปิดกว้างทั้งในเรื่องพื้นที่การเรียนรู้ที่ไม่จำกัดแค่เฉพาะในห้องเรียน และการสร้างวิธีจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
แล้วการเรียนรู้เชิงรุก หรือที่เราคุ้นหูกันดีว่าคือ ‘Active Learning’ นั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ?
Active Learning : การศึกษาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตนักเรียนได้จริง
การเรียนรู้เชิงรุก หรือ Active Learning เป็นทักษะสำคัญในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งยกระดับการถ่ายทอดความรู้จากครูถึงศิษย์ด้วยการ ‘สื่อสารทางเดียว’ หรือส่งต่อความรู้จากผู้สอนถึงผู้เรียนแบบเดิมไปสู่การกระตุ้นให้ ‘นักเรียนเป็นศูนย์กลาง’ ผ่านการร่วมออกแบบวิธีการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายปลายทาง นั่นคือ การสร้างสรรค์องค์ความรู้และทักษะเฉพาะที่งอกเงยจากภายในตัวของผู้เรียนเอง
ห้องเรียน Active Learning สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดำเนินโครงการมาถึงปีที่สาม โดยเรามีครูและนักจัดการเรียนรู้มากกว่า 400 คนจากทั่วประเทศเข้าร่วม พร้อมศึกษานิเทศก์และนักวิจัยโครงการที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับครูในโรงเรียนต่าง ๆ จนสามารถขับเคลื่อนให้เกิดห้องเรียน Active Learning ที่มีการจัดการเรียนรู้ที่น่าสนใจ กระจายไปในทุกภูมิภาคของประเทศ และเพื่อให้โรงเรียนต้นแบบนำการเรียนการสอนไปใช้ได้จริง
เราจึงเน้นย้ำให้มีการสรุปทบทวนแลกเปลี่ยน และที่ไม่อาจละเลยได้เลย คือการเติมเต็มประสบการณ์ระหว่างคณะทำงาน เขตพื้นที่การศึกษา และโรงเรียนต้นแบบที่เข้าร่วมทั้ง 10 แห่ง ได้แก่ สพป. น่านเขต 1 โรงเรียนบ้านน้ำพาง, สพป. ยโสธรเขต 1 โรงเรียนบ้านคุ้ม, สพป. สุรินทร์เขต 1 โรงเรียนบ้านตาเปาว์, สพป. พิจิตรเขต 2 โรงเรียนวัดวังเรือน, สพป. กาญจนบุรีเขต 2 โรงเรียนบ้านโคราช, สพป. ตรังเขต 1 โรงเรียนอนุบาลตรัง, สพป. เชียงรายเขต 1 โรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยา, สพป. พะเยาเขต 2 โรงเรียนบ้านดู่, สพป. นครศรีธรรมราชเขต 1 โรงเรียนบ้านบางกระบือ และ ศธจ. สุราษฎร์ธานี โรงเรียนบ้านน้ำราด
สำหรับห้องเรียน Active Learning ในโครงการพัฒนาทักษะการจัดการการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มีทั้งสิ้น 8 หลักสูตรด้วยกัน ได้แก่ หลักสูตรโครงการนวัตกรรมจากประสบการณ์โลก, หลักสูตรการจัดการเรียนรู้อิงสมรรถนะผู้เรียน, หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์โควิดโดยใช้บ้านแทนห้องเรียน, หลักสูตรการออกแบบบอร์ดเกมสำหรับห้องเรียน Active Learning, หลักสูตรจิตศึกษากับการพัฒนาสมองส่วนหน้า, หลักสูตรจิตศึกษากับการพัฒนาหลักการจิตวิทยาเชิงบวกเพื่อการเสริมสร้างอุปนิสัยผู้เรียน, หลักสูตรทักษะการตั้งคำถามเพื่อเสริมสร้างการคิดเชิงเหตุผล และหลักสูตรการเขียนเพื่อพัฒนาการคิดในห้องเรียน ซึ่งครูผู้สนใจสามารถเลือกนำหลักสูตรเหล่านี้ไปใช้จัดการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ตามความเหมาะสม โดยจะมีโค้ชของโครงการคอยเป็นที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนให้การออกแบบการเรียนรู้สามารถบรรลุผลตามหลักสูตรได้
ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา กสศ. กล่าวว่า ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในทุกด้าน ภาพสะท้อนที่สำคัญคือ สถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าเทคโนโลยีมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการจัดการเรียนรู้หรือรูปแบบการศึกษา และวันนี้ ‘ครู’ ไม่ได้มีหน้าที่นำความรู้มาถ่ายทอดให้ศิษย์อีกต่อไป แต่จะต้องเป็นผู้อำนวยการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนเฉพาะบุคคลหรือเฉพาะกลุ่ม ทั้งนี้ ประสบการณ์การทำงานของ กสศ. พบว่าการจัดการเรียนรู้ที่เท่าทันโลกปัจจุบัน ต้องมีความหลากหลาย ครอบคลุมการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ ที่อยู่ตรงช่องว่างของระบบการศึกษาด้วย
“การขับเคลื่อนห้องเรียน Active Learning ครั้งนี้จึงเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการเรียนรู้ที่น่าสนใจ ซึ่งครูแกนนำและเขตพื้นที่การศึกษาได้นำหลักสูตรต้นแบบไปใช้แล้วระยะเวลาหนึ่ง จึงนำผลปฏิบัติการกลับมาถ่ายทอดให้เครือข่ายรับฟัง ร่วมกันระดมความคิด ก่อนที่จะตกผลึกแนวทางและนำไปขยายผล ทั้งในโรงเรียนอื่น ๆ หรือโรงเรียนในพื้นที่ต้นแบบ และระหว่างภูมิภาค โดยปรับวิธีการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ข้อจำกัด และบริบทของแต่ละพื้นที่”
ดร.อุดม ชี้ประเด็นที่สำคัญว่า โครงการพัฒนานักจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เข้าสู่ปีที่สามในปีนี้ แม้ว่าจะเป็นโครงการที่เริ่มต้นจากกลุ่มเป้าหมายและทีมงานขนาดเล็ก แต่ด้วยความร่วมมือและการบริหารจัดการที่มีแนวทางชัดเจน จึงทำให้การขยายผลในพื้นที่ต้นแบบไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงโรงเรียนหรือกลุ่มสาระวิชาใดวิชาหนึ่งเท่านั้น แต่เกิดการส่งต่อวิธีคิด เครื่องมือ และการจัดการการเรียนการสอนที่ประสบผลสำเร็จไปยังโรงเรียนอื่น ๆ ด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยนและเติมเต็มให้นำกลับไปทดลองใช้จริง แล้วกลับมาแลกเปลี่ยนเพื่อถอดบทเรียนร่วมกันเป็นระยะ ๆ
อีกทั้ง กสศ. ยังพยายามเชื่อมต่อการทำงานกับโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาที่สนใจขับเคลื่อนห้องเรียน Active Learning เพื่อความยั่งยืนของโครงการ ตลอดจนนำไปสู่กระบวนการผลิตและพัฒนา ‘ครูต้นแบบ’ ที่จะกลับไปช่วยสร้างและหล่อหลอมเด็ก ๆ อีกหลายต่อหลายรุ่นในอนาคต
“หลังโควิด-19 มีคำถามมากมายเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องติดตามดูว่าแวดวงการศึกษาจะขยับต่อไปอย่างไรโดยเฉพาะทิศทางที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงหนึ่งบอกเราว่า วันนี้ความหมายของคำว่า ‘ครู’ กว้างขึ้นกว่าเดิม พื้นที่ในการทำงานเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนหนึ่งหรือในรั้วโรงเรียนต่อไปอีกแล้วก็เช่นกัน ครูสมัยใหม่ต้องทำงานกับเครือข่ายเพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้เชิงรุก และแม้ว่าจังหวะหรือความพร้อมของแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกัน แต่การจับมือทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย จะทำให้ทุกโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษา รวมถึงคณะทำงานได้มีโอกาสมาเจอกันตรงกลาง ได้แลกเปลี่ยนรูปแบบแนวทางและวิธีคิด เพื่อให้สามารถปรับใช้ได้ตรงตามบริบท และต้องปรับปรุงเติมเต็มตลอดเวลา การจัดการเรียนรู้ของครูจึงจะเท่าทันกับทุกความผันผวนเปลี่ยนแปลงในสังคม”
รศ.ดร.เกตุมณี มากมี ที่ปรึกษาโครงการพัฒนานักจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 กล่าวว่า การประเมินว่างานของครูก้าวหน้าไปแค่ไหน ต้องมุ่งเป้าไปที่ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน จากนั้นศึกษานิเทศก์จะเป็นผู้สะท้อนว่าครูต้องเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรจึงส่งผลต่อตัวนักเรียน โดยผลสัมฤทธิ์ที่กล่าวถึง ไม่ได้หมายถึงคะแนนการอ่านการเขียน หรือการทำข้อสอบที่มีเกณฑ์ชี้วัดเกณฑ์เดียวกันหมด
“ทุกท่านต้องทราบว่าผู้เรียนแต่ละคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน มีเส้นทางไม่เหมือนกัน ปลายทางของงานจัดการศึกษาจึงไม่ใช่เพื่อให้ผู้เรียนสอบได้คะแนนสูง ๆ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือบรรยากาศการเรียนรู้ที่ครูสร้างขึ้น แล้วทีนี้เราจะดูผลลัพธ์ของความเปลี่ยนแปลงนี้จากอะไรได้บ้าง นี่เป็นที่มาของการจัดการพบปะของเครือข่าย เพื่อให้ครู ศึกษานิเทศก์หรือผู้บริหารโรงเรียนมาเล่าสู่กันฟังถึงการทำงานที่จะเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน”
‘หลักสูตร’ เป็นเพียงเครื่องมือตั้งต้นในการพัฒนา ขณะที่การถอดบทเรียนความสำเร็จหรือข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้เป็น ‘องค์กรแห่งการเรียนรู้’ คือสิ่งที่สมควรถูกขีดเส้นใต้ไว้ชัดเจน
รศ.ดร.เกตุมณี เสริมอีกว่า โรงเรียนต้นแบบหลายแห่งได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อครูขยับการทำงาน มีผู้บริหารคอยสนับสนุน และมีศึกษานิเทศก์และคณะทำงานโครงการฯ เป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำ การพัฒนาก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แม้อาจไม่เป็นไปตามความสวยงามของหลักสูตรต้นทาง แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือเนื้อในของรูปแบบการจัดการการศึกษาที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของนักเรียนได้
ทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ออกแบบตามสังคมและตัดเย็บอย่างเข้าใจ
สิ่งที่เขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนต้นแบบนำมาถ่ายทอด ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในการเรียนรู้และปฏิบัติงานของครู เราพบวิธีการเรียนรู้ที่สร้างพลัง สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ การทดลอง ความคิดเชิงนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
หากจุดที่น่าสนใจคือ หลักสูตรการพัฒนาทักษะการจัดการการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทั้งหมดล้วนมีต้นทางมาจากต่างประเทศ แต่เมื่อนำมาปรับใช้กับบริบทสังคมไทย หลักสูตรเหล่านี้มีพลังในการสร้างชุมชนการเรียนรู้จากภายในโรงเรียนที่ไม่หยุดอยู่กับข้อจำกัด
เราเห็นโรงเรียนในแต่ละเขตมีแนวทางที่ประสบความสำเร็จใหม่ ๆ ที่พร้อมถ่ายทอดออกไปในระดับพื้นที่ ระดับภูมิภาค จนกลายเป็นทักษะการจัดการเรียนรู้ที่กว้าง ลึก ไม่ติดอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
แน่นอนว่าผลลัพธ์เชิงประจักษ์ คือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในชั้นเรียน ทั้ง Output ณ ขณะนั้น ไปจนถึงการสั่งสมองค์ความรู้ภายในจนกลายเป็น Outcome ที่บ่งบอกว่า เราไม่สามารถลงมือทำเพียงครั้งเดียวเพื่อหวังผลไปถึงตัวชี้วัดสุดท้ายได้ เช่น ครูต้องสอนเด็กลากเส้นตรง เส้นโค้ง เส้นเฉียง กว่าจะขึ้นรูปเป็นตัวอักษร
เหล่านี้ไม่ได้จบภายในชั่วโมงเดียว
แต่ละชั่วโมงที่เคลื่อนผ่าน คือการพาผู้เรียนไปถึงจุดประสงค์นำทางของการจัดการเรียนการสอนแต่ละครั้ง สั่งสมจนไปถึงตัวชี้วัดซึ่งเป็นปลายทางสุดท้าย นั่นคือเด็กเขียนตัวอักษรได้จากกระบวนการเรียนรู้ที่สะสมไว้ภายใน
“โครงการนี้คือการสร้างเครือข่ายการจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับแก่นวิชาชีพครู ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ ทั้งกับครูและเด็ก ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่เปลี่ยนวิธีคิด ไม่ลงมือปฏิบัติให้ต่างไปจากวิถีเดิมที่คุ้นชิน
เพราะเราต้องการห้องเรียนตัวอย่างที่ไม่ได้ยึดเพียงหลักสูตรของตัวเอง แต่ต้องมีการแลกเปลี่ยน แนะนำ ส่งผ่าน นำต้นแบบที่เห็นว่าน่าสนใจกลับไปใช้ ไปทดลองทำ แล้วกลับมาถอดบทเรียนร่วมกัน
เมื่อนั้นเราจะมีนวัตกรรมการจัดการการเรียนรู้ที่หลากหลาย ครอบคลุมความแตกต่างทางบริบทพื้นที่ และบทเรียนทั้งหมดจะเป็นต้นทางของการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ที่จะสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาสำหรับเด็กทุกคน
ไม่ว่าเขาจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม”