เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ The Guardian ของอังกฤษ รายงานว่า ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการเปิดเผย หลัง Antony Blinken รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้มีโอกาสพูดคุยหารือกับ Dominic Raab รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 ที่กรุงลอนดอนของอังกฤษ ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยประเด็นในการหารือหลักคือแผนที่วางไว้เพื่อบรรลุเป้าหมายในการให้การช่วยเหลือเด็กหญิงทั่วโลกได้เรียนหนังสือ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษมีท่าทีที่จะลดทอนบทบาทลงเพราะต้องการตัดลดงบช่วยเหลือในโครงการดังกล่าว
รายงานระบุว่า รัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 7 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ยังหารือในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนา และความร่วมมือทางการต่างประเทศในด้านต่างๆ โดยทั้งหมดเห็นชอบร่วมกันที่จะเดินหน้าให้ความช่วยเหลือนานาประเทศเพื่อให้ผ่านวิกฤตไวรัสโคโรน่าได้อย่างราบรื่น
การประชุมครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่รัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 7 คน ได้ประชุมแบบพบปะหน้ากัน โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศจากเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย อินเดีย และแอฟริกาใต้เข้าร่วมการหารือในบางประเด็น
ทั้งนี้ ทางที่ประชุม G7 เปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญที่จะหารือกันในครั้งนี้ก็คือจุดมุ่งหมายของกลุ่ม G7 ที่จะส่งเด็กหญิงจากประเทศรายได้ปานกลางและยากจนรวม 40 ล้านคนได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนภายในช่วง 5 ปีนับจากนี้ พร้อมเห็นชอบที่จะจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเด็กหญิงในประเทศกำลังพัฒนาเบื้องต้นรวมมูลค่า 10,800 ล้านปอนด์ (ราว 468,900 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ได้รับความสนใจก็คือจุดยืนของรัฐบาลอังกฤษที่จะจัดสรรงบสบทบในโครงการดังกล่าวในปี 2021 นี้ โดยนับตั้งแต่ปี 2016 อังกฤษจะจัดงบสนับสนุนเพื่อช่วยการศึกษาแก่เด็กหญิงที่ 672 ล้านปอนด์ต่อปี แต่ปีนี้ อังกฤษตั้งงบสนับสนุนไว้ที่ 400 ล้านปอนด์
หลายฝ่ายแสดงความผิดหวังต่อการตัดสินใจลดงบช่วยเหลือดังกล่าวของอังกฤษ โดย Andrew Mitchell อดีตเลขาธิการด้านการพัฒนานานาชาติกล่าวว่า การยินยอมตัดลดงบช่วยเหลือดังกล่าวไม่เพียงทำให้เด็กหญิงไม่ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อโครงสร้างทางสังคม อย่างการคุมกำเนิด และสุขภาพของแม่และเด็ก
ด้าน Gordon Brown อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ใช้โอกาสระหว่างการร่วมแถลงข่าวกับองค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องให้กลุ่ม G7 จัดสรรงบให้กับกองทุนสำคัญๆ ในการช่วยเหลือปกป้องกลุ่มคนยากจนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการเร่งจัดสรรวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้กับกลุ่มประเทศยากจนเหล่านี้
Brown กล่าวชัดว่า แม้การที่ชาติตะวันตกจะมีภูมิคุ้มกัน แต่หาประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ไม่มีภูมิด้วย ก็เท่ากับทำให้เกิดภาวะ “vaccine apartheid” หรือ การแบ่งแยกวัคซีนโดยสีผิว ที่จะทำให้การระบาดของไวรัสโควิด-19 แพร่กระจาย และกลายพันธุ์มากขึ้น จนท้ายที่สุดโรค COVID-19 จะยังคงเป็นภัยคุกคามต่อไปอีกหลายปี
ที่มา : G7 nations to agree on global plan to help 40m girls into education