เขตกลาสโกว์ ในสก็อตแลนด์เตรียมใช้นโยบายนำร่องใหม่ โดยระบุว่า เด็กที่ขาดเรียนเป็นเวลานานจะได้รับการสนับสนุนแทนที่จะถูกลงโทษ หลังพบว่าตัวเลขการเข้าเรียนโดยรวมลดลงทั่วสกอตแลนด์ตั้งแต่เกิดการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโควิด-19
เว็บไซต์ข่าวสถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษรายงานว่า ภายใต้โครงการใหม่นี้ นักจิตวิทยาและเจ้าหน้าที่ชุมชนจะไปเยี่ยมบ้านเพื่อช่วยให้นักเรียนเอาชนะความวิตกกังวล ความเครียด และปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยนโบายดังกล่าวเตรียมจะบังคับใช้ในโรงเรียนทุกแห่งทั่วกลาสโกว์ภายในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคมนี้ เพื่อเป็นโครงการนำร่องก่อนที่จะนำมาขยายผลบังคับใช้ทั่วสก็อตแลนด์และทั่วสหราชอาณาจักรต่อไป
รายงานระบุว่า โครงการนำร่องจะมีขึ้นเป็นเวลา 12 เดือน โดยมุ่งเป้าไปที่เด็กที่เข้าเรียนน้อยกว่า 60 % ของเวลาเรียน และคาดว่าจะทำงานแบบตัวต่อตัวกับนักเรียนอย่างน้อย 250 คนจากโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษา โดยโครงการนี้เป็นโครงการเรียกว่า REACH ซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกันโดยสภาเมืองกลาสโกว์และองค์กรการกุศล Quarriers
ด้าน Barry Syme นักจิตวิทยาการศึกษาหลักของสภาเมืองกลาสโกว์ กล่าวว่า เป้าหมายของภารกิจนี้คือการเข้าไปแทรกแซงตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อสนับสนุนคนหนุ่มสาว และช่วยหันเหพวกเขาจากปัญหาสุขภาพจิตก่อนจะถึงวัยผู้ใหญ่ซึ่งการแทรกแซงในภายหลังมีต้นทุนในการแก้ไขที่ราคาแพงกว่ามาก
นักจิตวิทยารายนี้ยังกล่าวว่า แทนที่จะมองว่าการขาดเรียนเป็นปัญหาและลงโทษครอบครัวที่ไม่เข้าร่วม ทุกฝ่ายควรหันกลับมามองที่สาเหตุที่แท้จริง ซึ่งปัญหาโดยรวมมาจากภาวะความรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณ์ของเด็ก ทำให้เกิดภาวะ ‘การไม่มาโรงเรียนตามอารมณ์’ (‘Emotionally based school non – attendance’) ซึ่ง Syme อธิบายว่า “การไม่ไปโรงเรียนตามอารมณ์” ใช้เพื่ออธิบาย เมื่อเด็กรู้สึกว่าไม่สามารถไปโรงเรียนได้เนื่องจากความเครียดหรืออุปสรรคด้านสุขภาพอื่น ๆ
“การระบาดของโควิด – 19 ทำให้เยาวชนจำนวนมากไม่ได้รับโอกาสเพราะพวกเขาติดอยู่ที่บ้าน ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นความท้าทายที่แท้จริง โดยจนถึงขณะนี้ เรายังไม่เคยเห็นผลกระทบของสิ่งนั้น” Syme ระบุ
ขณะที่ Colin Simpson ผู้ประสานงานบริการสำหรับบริการโรงเรียนกับ Quarriers กล่าวว่า สิ่งที่แตกต่างเกี่ยวกับบริการนี้คือ เจ้าหน้าที่สามารถไปโรงเรียนและใช้เวลากับเด็กนักเรียนและครอบครัวที่บ้านเพื่อเอาชนะความวิตกกังวล และความท้าทายด้านสุขภาพจิตโดยการให้ความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันในบ้าน
ด้าน Lisa Pierotti ครูใหญ่โรงเรียน St Paul’s Roman Catholic ใน Pollok เขตกลาสโกว์ ซึ่งเข้าร่วมในโครงการนำร่องครั้งนี้ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนคนหนุ่มสาวที่พบว่าเป็นเรื่องยากมากหลังโควิดในการปรับตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างการไปโรงเรียน เด็กนักเรียนวัยรุ่นของตนขาดความมั่นใจ ดังนั้นจึงต้องการการสนับสนุนอย่างมาก
“นั่นคือสิ่งที่โรงเรียนพร้อมมอบให้พร้อมกับการทำงานร่วมกันกับครอบครัว” ครูใหญ่ Pierotti กล่าว
Robert Smith นักเรียนของโรงเรียน St Paul’s Roman Catholic วัย 17 ปี กล่าวว่า แม้ตัวเองจะมาเข้าเรียนเป็นประจำ แต่ก็เข้าใจว่าทำไมนักเรียนคนอื่น ๆ ถึงรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องยาก โดยเจ้าตัวกล่าวว่า เหตุผลที่คนไม่มาโรงเรียนเพราะอาจมีปัญหาครอบครัว จึงไม่มีใครในบ้านบังคับให้ไปโรงเรียน
“ถ้าคุณไม่มีคนสนับสนุนคุณให้ไปโรงเรียน ในฐานะวัยรุ่น คุณจะไม่ไปเพราะรู้สึกว่าไม่มีผลกระทบ หรือไม่มีใครบ่นถ้าคุณไม่ไป” Smith กล่าว
ส่วน Emma McDougall นักเรียนโรงเรียนเดียวกันวัย 17 ปีกล่าว ถึงสาเหตุที่ไม่มาโรงเรียนของเพื่อนนักเรียนว่า ไม่ใช่แค่ความกดดันในการสอบเท่านั้นที่ผู้คนรู้สึกหลังผ่านช่วงโควิดมา แต่ยังรวมถึงแรงกดดันทางสังคม เช่น พวกเขารู้สึกกังวลที่จะพูดคุยกับคนใหม่ ๆ เพราะพวกเขาอยู่ห่างจากผู้คนเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ Marlene Asare วัย 17 ปี กล่าวเช่นกันว่า แม้ตนเองจะชอบมาโรงเรียน แต่ก็เข้าใจได้ว่า การมาโรงเรียนของเพื่อนบางคนอาจเป็นความเครียดมากหรือความวิตกกังวลด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป
Shirley – Anne Somerville เลขาธิการด้านการศึกษากล่าวสรุปว่า สุขภาพและแรงจูงใจที่ไม่ดีอาจเป็นสาเหตุพื้นฐานบางประการที่อาจส่งผลกระทบต่อการเข้าเรียนและการเรียนรู้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือโรงเรียนควรทำงานร่วมกับครอบครัวเพื่อสนับสนุนและดึงดูดให้นักเรียนเข้าเรียนที่โรงเรียน
ที่มา : School absence pupils to be helped rather then punished