‘พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ’ ปฏิวัติการศึกษาหรือแค่ปรับโฉม ?
โดย : กองบรรณาธิการ The101.world
ภาพถ่าย : ธีรพัฒน์ แก้วชำนาญ

‘พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ’ ปฏิวัติการศึกษาหรือแค่ปรับโฉม ?

‘ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา’ เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกจนแทบกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและระบบการศึกษา ท่ามกลางระบบการศึกษาที่มีแต่ข้อกังขาถึงความล้าหลัง กระทั่งจนถึงทุกวันนี้หลายปัญหาเชิงโครงสร้างยิ่งเปิดเปลือยให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังที่ฝังรากลึกหรือแม้แต่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมมาเนิ่นนาน ซึ่งล้วนเป็นผลพวงมาจากนโยบายต่างๆ ที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการในการเรียนรู้ที่แท้จริงของผู้เรียน

ทุกวันนี้ประเทศไทยยังใช้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับปี 2542 ซึ่งถูกใช้มานานมากกว่า 20 ปี แม้ที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันร่างกฎหมายฉบับใหม่ แต่ก็ยังไปไม่พ้นข้อวิจารณ์เดิมว่าเป็นการวางโครงสร้างการศึกษาที่ไม่สอดรับกับอนาคต กระทั่งปัจจุบันจึงมีความพยายามอีกครั้งที่จะเสนอร่างกฎหมายฉบับใหม่จากหลายพรรคการเมือง

ในโลกที่ความรู้และทักษะเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกวัน ความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาเกิดขึ้นตลอดเวลา โรงเรียนในความหมายเดิมยัง ‘ใช่’ อยู่หรือไม่ อะไรคือความหมายของการเรียนรู้ และ ‘ผู้เรียน’ อยู่ส่วนไหนของการปฏิรูปครั้งนี้

วันโอวันร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชวนตัวแทนพรรคการเมืองพูดคุยถึงอนาคต พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ประกอบด้วย พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน, วันนิวัติ สมบูรณ์ โฆษกคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎรและ สส.เขตพรรคเพื่อไทย และสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการและรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 Policy Forum #21 ปฏิวัติการศึกษาไทยด้วย พ.ร.บ. ฉบับใหม่ ?

ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง การศึกษาต้องเปลี่ยนตาม

สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการและรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เริ่มต้นอธิบายว่า หากดูจากร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่จากพรรคภูมิใจไทย จะเห็นว่าร่าง พ.ร.บ. ที่กรรมาธิการการศึกษายกขึ้นมานั้นมีเนื้อหาสาระเพื่อตอบโจทย์บริบทของโลกที่เปลี่ยนไป เมื่อย้อนดู พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับปี 2542 จะพบว่าเนื้อหาไม่ตอบโจทย์ และไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาในยุคปัจจุบัน ขณะเดียวกันระหว่างทางจนถึงวันนี้ก็ยังมีการบัญญัติกฎหมายฉบับอื่นเพิ่มเติมขึ้นมา สิริพงศ์จึงเน้นย้ำว่า การจะทำความเข้าใจการศึกษาทั้งระบบ จำเป็นต้องไปดูกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาไทยทั้งระบบ

“ต้องยอมรับว่า พ.ร.บ.การศึกษา ปี 2542 ค่อนข้างจะก้าวหน้าในยุคนั้น มีหลายอย่างที่แนวคิดดี แต่พอถึงเวลาปฏิบัติจริงๆ กลับทำไม่ได้ หรือล้าสมัยในยุคปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องมีการอัปเดต จัดเรียงหมวดหมู่ใหม่ เพราะมีหลายอย่างที่ค่อนข้างซ้ำซ้อน เกินความจำเป็น ควรมีการหยิบยกมาคุยกันมากขึ้น”

“ผมคิดว่าการยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาขึ้นมาใหม่ก็เพื่ออัปเดตกฎหมาย เพื่อดูว่ามีอะไรในโลกยุคนี้บ้างที่เปลี่ยนไปแล้วจากยุคก่อน” สิริพงศ์กล่าว

สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ


สิริพงศ์อธิบายเพิ่มเติมว่า ในยุคปัจจุบันการเสนอกฎหมายระดับ พ.ร.บ. โดยเฉพาะกฎหมายปฏิรูปในแต่ละครั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผู้มีส่วนได้และส่วนเสียจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับปรุง กระนั้น สิ่งสำคัญคือการถกเถียงและอภิปรายกันว่ามีจุดไหนที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่น พ.ร.บ. ปี 2542 มีหลายเรื่องที่ควรให้สิทธิสถานศึกษามากกว่านี้ เช่น การซื้อหนังสือที่สถานศึกษาไม่มีอิสระและความยืดหยุ่นเพียงพอ ดังนั้นพอมาถึงยุคปัจจุบันระเบียบที่เคยล้าสมัยก็ควรจะต้องปรับแก้

แน่นอนว่าการศึกษาในโลกยุคปัจจบันที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการเข้ามาใหม่ของเทคโนโลยี สิริพงศ์มองว่าย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ อีกทั้งในการร่างกฎหมายฉบับใหม่ ต้องคำนึงว่าบางกฎระเบียบที่เราคาดการณ์ว่าในอนาคตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงก็จำเป็นต้องเขียนกว้างๆ ในเชิงหลักการไปเสียก่อน เนื่องจากการแก้ พ.ร.บ. ครั้งหนึ่งเป็นเรื่องใหญ่อย่างมากและมีที่มาจากหลายความคิดเห็น

“ในอดีตเราอาจเคยคิดว่า การศึกษามีรูปแบบที่ตายตัว แต่คำว่า ‘การปฏิวัติการศึกษา’ ในมุมมองของพรรคภูมิใจไทยคือไม่จำเป็นต้องตายตัว ผู้เรียนอยากเรียนแบบไหนก็ต้องเรียนได้ ไม่ต้องยึดโยงว่าอยู่ที่ไหน อายุเท่าไหร่ หรือต้องเรียนตามหลักสูตรเท่านั้น ต้องออกแบบตามใจของผู้เรียน

“แต่ละคนที่มาร่วมพูดคุยเรื่องกฎหมายการศึกษามาจากบริบทที่ต่างกัน บางคนเป็นครูเก่าที่เห็นระบบการศึกษาในอดีตแบบหนึ่งมา บางคนเป็นนักการศึกษาที่มาจากยุคใหม่ ซึ่งอาจจะเห็นระบบต่างกันคนละขั้ว ก็คงต้องใช้เวลาในการพูดคุย และหาแนวคิดร่วมกัน” สิริพงศ์กล่าว

อย่างไรก็ดี สิริพงศ์เน้นย้ำว่า แม้ พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่จะเน้นให้ผู้เรียนสามารถเลือกแนวทางการศึกษาได้ด้วยตนเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การศึกษาสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีนั้นรัฐยังต้องมีหน้าที่จัดรูปแบบการเรียนการสอนให้ ซึ่งเป็นการเรียนในระบบที่ไม่ใช่แค่วิชาความรู้ แต่หมายถึงการที่เด็กต้องมีการเรียนรู้ soft skills และ hard skills ไปจนถึงความเป็นพลเมืองของชาติและพลเมืองของโลกด้วย หลังจากอายุ 15 ปีขึ้นไปจึงค่อยมาตัดสินใจเองว่าอยากจะไปสายไหน

“หลังอายุ 15 ปีเป็นช่วงที่เด็กศึกษาได้ด้วยตัวเอง แต่ก่อน 15 ปีคือช่วงของการดูแลให้เด็กอ่านออกเขียนได้ มีอีคิว มีความสามารถ ความรู้ที่เหมาะสมแก่ช่วงวัย

“ในอดีตเราจะเห็นว่ามีการศึกษาสามแบบ คือ ในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยรัฐจะจัดการศึกษาในระบบกับตามอัธยาศัย ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่เป็นคนกำกับดูแลและติดตามการศึกษานอกระบบ แต่ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาฉบับใหม่ รัฐจะเป็นผู้จัดการศึกษานอกระบบด้วย

“มันอาจจะค้านกับวัฒนธรรมของคุณครูยุคเก่าๆ ที่มีความคิดว่าการศึกษาต้องเป็นระบบเดิม แต่เราออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ว่าผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามใจ ไม่ต้องมีหลักสูตรตายตัว เพราะสุดท้ายปลายทางเราวัดที่ความสามารถและทักษะ ไม่ใช่วุฒิการศึกษา” สิริพงศ์เน้นย้ำ

ถึงเวลาที่ ‘ความเหลื่อมล้ำ’ และ ‘การศึกษา’ ต้องแยกขาดจากกัน

ขณะที่ วันนิวัติ สมบูรณ์ โฆษกคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎรและ สส.เขตพรรคเพื่อไทย เน้นย้ำถึงเหตุผลที่ต้องมีการปรับปรุง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ โดยระบุว่าที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความเหลื่อมล้ำกับปัญหาการศึกษาแยกจากกันไม่ออก ดังนั้น การแก้ไขปัญหาทั้งสองประเด็นนี้จึงควรจะมีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่จากพรรคเพื่อไทยจึงมีจุดสำคัญที่การแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำเป็นสำคัญ

“เพื่อต้องการแก้ปัญหานี้ เราเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการออกแบบหลักสูตร ทั้งเรื่องการประเมินและพัฒนาครูให้ทันโลกและยุคสมัยมากขึ้น ต้องมีโครงการที่จะขยับศักยภาพของครูขึ้นมา เมื่อโลกหมุนไป การศึกษาไทยก็ต้องก้าวให้ทัน โดยครูไม่ได้มีหน้าที่แค่สอน แต่ต้องนำพาให้เด็กสามารถสร้างองคาพยพของการเรียนรู้ได้และไปได้ไกลกว่าเดิม” วันนิวัติกล่าวเสริม

วันนิวัติ สมบูรณ์

ต่อประเด็นนี้ วันนิวัติอธิบายเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาในทุกองคาพยพ ระบบการศึกษาถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินนโยบายและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น นโยบายที่สนับสนุนให้มี ‘ธนาคารสมรรถนะ’ ที่จะตอบโจทย์ทั้งผู้เรียนที่อยู่ในระบบและนอกระบบ ให้สามารถเรียนไปด้วย มีรายได้ด้วย

“เพราะเรื่องเงินเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา นโยบายนี้เรายกโมเดลมาจากประเทศอิตาลี ที่มีการเก็บทักษะใช้ในการเทียบโอนการศึกษาได้ มีรายได้ และมีอิสระมากขึ้น โดยมีหน่วยงานกลางในการประเมินทักษะ เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบการศึกษา”

ถึงที่สุด วันนิวัติมองว่ามองปลายทางในการแก้ไข พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติคือทุกอย่างต้องอยู่ที่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนมีส่วนตัดสินใจ แม้กระทั่งการประเมินโรงเรียน ให้ระบบการศึกษาและหลักสูตรต่างๆ มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ปรับแก้ได้ตามยุคสมัย และมีระบบที่เอื้อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะขั้นพื้นฐานมากขึ้น ซึ่งจะแก้ไขให้ไปในทิศทางไหน ต้องดูบริบทการศึกษาไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นหลัก

ที่ทางของ พ.ร.บ.การศึกษา ต่อการปฏิรูปโครงสร้างประเทศ

ในวันที่เรากำลังจะ ‘วางแปลน’ การศึกษาเพื่ออนาคตของเด็กไทย พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน เปิดประเด็นชวนขบคิดสามคำถามหลักที่ต้องพูดถึงให้ชัดเจนในการแก้ไข พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ

ประเด็นแรก อะไรเป็นปัญหาสำคัญของระบบการศึกษาไทยในภาพรวม ต่อประเด็นนี้พริษฐ์เน้นย้ำว่าหลายภาคส่วนเห็นตรงกันเรื่องปัญหาคุณภาพการศึกษา ไปจนถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำและสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ แต่ในมุมของพรรคประชาชนมองว่าที่ผ่านมาประเทศไทยขาดระบบการศึกษาที่มี 3 E

1) efficiency – ประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาระบบการศึกษาไทยใส่หลายหลักสูตรเข้าไป แต่กลับไม่สามารถแปลงออกมาเป็นทักษะที่เทียบกับนานาชาติได้เท่าที่ควร อีกทั้งครูหรือบุคลากรทางการศึกษาต้องใช้เวลาไปกับหลายเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน เช่น งานธุรการ งานเอกสารเยอะเกินจำเป็น ทำให้ประสิทธิภาพในการพัฒนาผู้เรียนลดน้อยลงไป

2) empathy – ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้เรียน การเข้าใจว่าเด็กจะเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีสุขภาพกายและใจที่ดี เมื่อเป็นเช่นนั้นบทบาทของสถานศึกษาไม่ได้จำกัดแค่ด้านวิชาการ แต่รวมไปถึงการดูแลไปถึงสุขภาพจิต อาหารการกิน ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ พยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อผู้เรียน ทำให้การศึกษาหลากหลาย และมีเสรีภาพในการเรียนรู้

3) elasticity – ความยืดหยุ่น ต่อให้วันนี้ประเทศไทยออกแบบการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับปัจจุบัน แต่อีก 10 – 20 ปีก็จะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาให้ระบบปรับไป จึงจำป็นต้องยืดหยุ่นให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อมีพลวัตในการปรับปรุงระบบได้อย่างรวดเร็ว

ประเด็นที่สอง เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกฎหมายอะไรและแก้ไขแบบไหน พริษฐ์เน้นย้ำว่าสิ่งที่ควรตามมาขณะที่มีการแก้ไขปัญหาการศึกษาคือการหาแนวทางว่าปัญหาอะไรควรแก้ด้วยกฎหมายและอะไรควรแก้ด้วยนโยบายฝ่ายบริหาร เพื่อให้ได้กฎหมายที่สั้นกระชับ ไม่ยืดยาวจนเกินไปหรืออาจสร้างปัญหาในการตีความได้ ขณะเดียวกัน ถึงแม้กฎหมายจะสั้นก็ต้องรัดกุม ไม่เกิดช่องโหว่ต่อสิทธิ์ของผู้เรียน จึงจำเป็นต้องวางหลักประกันเชิงนโยบายในบางเรื่องให้ไม่แคบจนเกินไป รวมถึงการวางโครงสร้างอำนาจและการจัดสรรงบประมาณ และการวางหลักประกันเชิงนโยบาย

ประเด็นสุดท้าย ภาพใหญ่หรือตำแหน่งแห่งที่ของ พ.ร.บ.การศึกษาจะอยู่ตรงไหนเมื่อเปรียบเทียบกับ พ.ร.บ. อื่นๆ พริษฐ์ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายเรื่องการศึกษาเยอะไปหมด หากมองในมุมของยุทธศาสตร์เชิงการเมือง พ.ร.บ.การศึกษาปี 2542 แม้จะมีลำดับเทียบเท่า พ.ร.บ. อื่น แต่พ.ร.บ.การศึกษาถูกใช้เป็นกระดุมเม็ดแรกในการปฏิรูปและสร้างการถกเถียงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง

“ดังนั้น ถ้าผ่าน พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่มาได้ จะเป็นการริเริ่มบทสนทนาครั้งใหม่ในการออกแบบระบบการศึกษา เป็นการกระตุกให้เราต้องไปทบทวนกฎหมายฉบับอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อให้การศึกษาในทุกระดับและทุกระบบยืดหยุ่นไร้รอยต่อ” พริษฐ์กล่าว

พริษฐ์ วัชรสินธุ

นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาจากพรรคประชาชนมีเนื้อหาสาระพยายามผลักดันให้เป็น พ.ร.บ.การศึกษาที่ตอบโจทย์ผู้เรียนได้ ต้องมีการไล่ดูทุกมาตราว่าต้องมีผู้เรียนอยู่ในนั้น เมื่อมองอนาคตของผู้เรียนในวันนี้ ไปจนถึงการสร้างอนาคตที่ดี ร่าง พ.ร.บ. ของพรรคประชาชนจึงมีห้าหัวข้อหลัก

1) ออกแบบสิทธิสวัสดิการที่ตอบโจทย์ผู้เรียน มีหมวดสิทธิผู้เรียนที่รัฐต้องคุ้มครอง เช่น การเรียนฟรี การเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน สิทธิมีส่วนร่วมในการออกแบบการศึกษา การดูแลอาหารการกิน การดูแลสุขภาพจิต

2) พัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้ตอบโจทย์ผู้เรียน วางหลักประกันเพื่อลดภาระงานที่ไม่จำเป็น มีเวลาไปทุ่มเทการเรียนรู้ที่มีผลดีต่อตัวผู้เรียน เพื่อเสริมทักษะและคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้สอน รวมถึงมีนโยบายให้นักศึกษาฝึกสอนได้ค่าตอบแทน เป็นต้น และอาจจะมีนักจิตวิทยา-นักโภชนาการที่มาร่วมประจำสถานศึกษา

3) การมีสถานศึกษาที่ตอบโจทย์ผู้เรียน กระจายอำนาจากกระทรวงไปสู่สถานศึกษาให้มากที่สุด โดยไม่ถูกล็อกโดยกรอบของแกนกลางมากจนเกินไป ให้มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณของตัวเองมากขึ้น ให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาของตัวเอง และยกระดับการบริหารที่มีทักษะและทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

4) โครงสร้างกระทรวงที่ตอบโจทย์ผู้เรียน ต้องมีศูนย์กลางที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ เป็นคนกำหนดมาตรฐานอย่างมีประสิทธิภาพและลดความซ้ำซ้อน ให้องค์กรส่วนท้องถิ่นเข้ามาบทบาทเรื่องการศึกษามาขึ้น

5) วางกลไกที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก วางกรอบหลักสูตรหลายระดับ ให้สถานศึกษาลงรายละเอียดได้ด้วยตัวเอง โดยอิงจากกรอบหลักสูตร และการประกันคุณภาพการศึกษาและสถานศึกษา  

“เราอยากจะสลายคำว่าการศึกษา ‘ในระบบ’ และ ‘นอกระบบ’ เปลี่ยนภาพการศึกษาจากระบบที่เราคุ้นเคยกัน ต้องมีการศึกษารูปแบบใหม่ๆ ที่หลากหลายมากขึ้นและเชื่อมกับการศึกษาที่เราคุ้นชินกันแบบไร้รอยต่อ” พริษฐ์เน้นย้ำ


ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world