“ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย” คงเป็นประโยคที่ใครหลายคนได้ยินอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากประเทศไทยกำลังอยู่ในระยะการเปลี่ยนผ่านทางประชากร กล่าวคือกำลังจะมีสัดส่วนจำนวนประชากรสูงวัยมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับจำนวนประชากรวัยเด็กที่มีจำนวนลดลง
แนวโน้มดังกล่าวอาจทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยในอนาคตกลายเป็น ‘ผู้สูงวัยที่ไม่มีรายได้’ และหลายฝ่ายก็แสดงความกังวลว่าจะส่งผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะแรงงานวัยหนุ่มสาวที่เป็นกลไกหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาจลดลง มิหนำซ้ำ สังคมไทยยังเผชิญกับอีกหนึ่งปัญหาท้าทายอย่าง ‘ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา’ กล่าวคือเด็กและเยาวชนไทยในช่วงวัยที่ควรอยู่ในระบบการศึกษา หลายคนกลับหลุดออกจากระบบการศึกษาหรือเส้นทางการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อาจซ้ำเติมเศรษฐกิจของไทยในอนาคตอีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่า ‘ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา’ ยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของสังคมไทยในปี 2568 ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหาทางแก้ไข พร้อมตั้งคำถามถึงโครงสร้างและนโยบายของระบบการศึกษาปัจจุบันที่ยังปล่อยให้เด็กไทยจำนวนมากหลุดออกจากเส้นทางการเรียนรู้เช่นนี้ อีกทั้งถึงเวลาที่สังคมไทยจะร่วมกันออกแบบระบบการศึกษาใหม่ เพื่อโอบรับทุกคนโดยไม่ทิ้งเด็กหรือเยาวชนคนใดไว้เบื้องหลัง
ด้วยความหวังว่าการศึกษาไทยในอนาคตต้องเป็นของเยาวชนทุกคน และสังคมไทยต้องไม่ปล่อยให้เด็กคนใดร่วงหล่นไปจากระบบการศึกษาหรือเส้นทางการเรียนรู้อีกแล้ว
หมายเหตุ: เก็บความบางส่วนจาก งานสัมมนา ‘ถอดรหัสการช่วยเหลือ เด็กนอกระบบการศึกษา ข้อค้นพบจากชีวิตจริงและปมปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้’ จัดโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568
เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา: ความท้าทายสำคัญของสังคมไทยในปี 2568
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) แสดงความคิดเห็นต่อปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบว่า นอกจากปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาอาจส่งผลต่อแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยแล้ว ยังตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยให้เยอะขึ้นอีกด้วย โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลการเลื่อนฐานะระหว่างคนต่างรุ่นในสังคมไทยของธนาคารโลก (World Bank) พบว่าหากพ่อแม่ได้รับการศึกษาต่ำกว่าลูกกว่า ร้อยละ 49 ลูกจะมีแนวโน้มได้รับการศึกษาระดับต่ำตามไปด้วย สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะยกระดับทุนมนุษย์และเป็นกุญแจสำหรับการแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามรุ่น
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่รัฐบาลไทยเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยมีมาตรการสำคัญคือ การประกาศเป็นมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 และยกให้เป็นวาระแห่งชาติ จากมาตรการดังกล่าวนำไปสู่ความพยายามค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ไปจนถึงการติดตามเพื่อจัดการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับศักยภาพของเยาวชน ซึ่งองค์การยูเนสโกประเมินว่า หากประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Zero-Dropout ได้สำเร็จ ประเทศไทยจะมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.7 ต่อปี
ที่ผ่านมา นโยบาย Thailand Zero Dropout ขับเคลื่อนมาแล้ว 6 เดือน หนึ่งในความคืบหน้าสำคัญ คือการสำรวจจำนวนเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาซึ่งไม่เคยถูกสำรวจมาก่อน โดยการสำรวจครั้งนี้ได้มาจากการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง ‘ทะเบียนราษฎร’ ของกระทรวงมหาดไทย และ ‘จำนวนเยาวชนที่อยู่ในระบบการศึกษา’ ของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อนำข้อมูลสองชุดมาเชื่อมโยงกัน พบว่าประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา ปี 2566 จำนวนทั้งสิ้น 1.02 ล้านคน โดยสามารถแยกออกมาได้ว่าเด็กนอกระบบที่มีอายุอยู่ในช่วงการศึกษาภาคบังคับ (ป.1 – ม.3) หรือช่วงวัยที่ควรอยู่ในระบบการศึกษามีอยู่กว่า 3.94 แสนคน
ทั้งนี้ สำหรับไกรยส ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มองว่า การแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้สำเร็จอย่างยั่งยืนได้นั้นต้องพึ่งพา ‘สมอง’ เพื่อออกแบบนโยบายที่รองรับความแตกต่างของเยาวชนทุกคน และ ‘หัวใจ’ เพื่อเข้าใจธรรมชาติของเยาวชน
“หากเรามองเยาวชนเป็นเพียงตัวเลขบนเอกสารของราชการ หัวใจของพวกเราจะไม่สามารถทำงานไปจนถึงตัวเด็กได้ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาเยาวชนนอกระบบการศึกษาได้อย่างยั่งยืน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่การแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบต้องพึ่งพาเครื่องมือทางมานุษยวิทยา เพื่อใช้ทำความเข้าใจและหาทางออกร่วมกับเด็กเหล่านี้อย่างแท้จริง” ไกรยสกล่าว
ตลอดการทำงานหนึ่งปีที่ผ่านมาภายใต้ภารกิจการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ ไกรยสแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 มีเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ภาคการเรียนที่ 1/67 กว่า 304,082 คน คิดเป็นร้อยละ 29.65 จากจำนวนเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษา ปี 2566 แต่ตัวเลขของเยาวชนนอกระบบทั้งหมดกลับไม่ลดลง สะท้อนว่าปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาได้กลายเป็นปัญหาแบบวงจร กล่าวคือทุกปีการศึกษาจะมีเด็กนอกระบบกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และขณะเดียวกัน ก็จะมีเด็กในระบบที่หลุดออกจากระบบการศึกษาด้วย ทำให้แม้ว่าจะมีเด็กและเยาวชนนอกระบบส่วนหนึ่งกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว แต่จำนวนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาโดยรวมไม่ได้ลดลงอย่างที่ควรจะเป็น
ดังนั้น ภาครัฐต้องออกแบบกลไกในการนำเด็กนอกระบบกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาให้ได้ และต้องดำเนินนโยบายควบคู่ไปกับการออกแบบระบบการศึกษาไทยใหม่ที่ ‘ยืดหยุ่น’ และ ‘ตอบรับกับอนาคตของโลก’ โดยเขาเชื่อว่าการออกแบบระบบการศึกษาใหม่จะเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กที่อยู่ในระบบในปีการศึกษาปัจจุบันหลุดออกไปจากระบบการศึกษาในปีการศึกษาต่อไปได้สำเร็จ อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
“จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น โจทย์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนนอกระบบจึงกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญในปี 2568 ของสังคมไทย พวกเราต้องเชื่อมั่นในเยาวชนว่า พวกเขาล้วนมีคุณค่าในการร่วมสร้างสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น เพียงแต่รอวันที่คุณค่าเหล่านั้นจะถูกค้นพบเท่านั้น และเยาวชนที่กำลังพูดถึงไม่ได้หมายถึงเพียงแต่เด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาเท่านั้น แต่รวมไปถึงเด็กนอกระบบการศึกษาด้วย” ไกรยสกล่าวทิ้งท้าย
เยาวชนไทยภายใต้สังคมซับซ้อน: ปรับความคิดใหม่ สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชน
รศ.ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง อนุกรรมการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาเยาวชนและแรงงานนอกระบบ กสศ. เริ่มต้นอธิบายประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบ ผ่านการชวนสังคมถอยกลับมามอง ‘ความจริงในสังคมไทยเกี่ยวกับเด็กครอบครัว’ ใหม่อีกครั้ง
เขามองว่าปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบเป็นปัญหาที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนเข้าใจ ที่ผ่านมาสังคมมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจประเด็นดังกล่าวอยู่ หากสังคมไม่สามารถเข้าใจความจริงเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวได้ชัดเจน อาจทำให้ท่าทีการแก้ไขปัญหาผิดเพี้ยนตามไปด้วย
โดยข้อจำกัดเหล่านั้นประกอบด้วย หนึ่ง ข้อจำกัดในการทำความเข้าใจประเด็น ‘เด็กและครอบครัว’ กล่าวคือสังคมมักมองปัญหาแบบแยกออกจากกัน พยายามหาต้นเหตุของปัญหาหรือผู้กระทำผิดโดยละเลยความซับซ้อนของปัญหา
สอง สังคมไม่สามารถเข้าใจรากของปัญหา ซึ่งเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมและปรากฎการณ์ทางสังคมที่เยาวชนไทยต้องเผชิญได้ กล่าวคือสังคมไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น กับปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม ทั้งที่หลายปัญหาของเยาวชนต่างมีที่มาและบริบทจากปัญหาเดิมๆ อย่างความยากจน อคติของผู้คน หรือนโยบายของภาครัฐ
หากกล่าวโดยสรุป คือสังคมไทยมักตอบโต้กับเหตุการณ์มากกว่ามองหาแก่นของปัญหา ลือชัยย้ำว่าท่าทีของสังคมเช่นนี้อาจนำไปสู่วิกฤตทางสังคมครั้งใหญ่ในอนาคต และมองว่าวิกฤตของระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน คือผลลัพธ์ของบรรดาปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทย ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายใหญ่สำหรับผู้กำหนดนโยบายทางด้านการศึกษาไทยในอนาคตอย่างยิ่ง
“เวลาเราพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นเด็กและครอบครัว เหมือนเรามองจากข้างนอกเข้าไปในป่า ป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ซึ่งหากเราไม่พร้อมจะเข้าใจความซับซ้อนของป่า เราก็อาจเห็นเป็นเพียงป่า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ป่าเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายข้างใน มีความหลากหลายของต้นไม้นานาชนิด ดังนั้นการทำความเข้าใจปัญหาที่เด็กและเยาวชนไทยเผชิญนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจที่ละเอียดลออมากขึ้น” ลือชัยอธิบาย
ทั้งนี้ จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของเขา ลือชัยมองว่าการศึกษาไทยต้องออกแบบสิ่งแวดล้อมสำหรับการเรียนรู้ที่ดี เพื่อทำให้เยาวชนไทยได้รับโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและไม่ปล่อยเยาวชนคนใดร่วงหล่นจากระบบการศึกษาไทยอีกต่อไป
“ที่ผ่านมาสังคมมักมองเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาเป็นเพียง ‘คนกลุ่มน้อย’ จึงถูกละเลยจากการออกแบบนโยบายทางการศึกษาที่มุ่งแก้ปัญหาของ ‘คนส่วนใหญ่’ แต่ต้องไม่ลืมว่าหากสังคมไทยยังคงมีท่าทีและวิธีคิดที่เป็นปัญหาเช่นนี้ จนทำให้เยาวชนไทยบางกลุ่มหลุดออกจากระบบการศึกษา อาจเปลี่ยนให้พวกเขาเหล่านั้นที่เป็นเหมือน ‘อนาคตของชาติ’ กลายเป็น ‘ระเบิดเวลา’ ของปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในอนาคต” ลือชัยกล่าว
ฟังเยาวชนนอกระบบด้วยใจ เยียวยาบาดแผลเด็กไทยด้วยความหวัง
“ผมมักได้ยินหลายคนตั้งคำถามต่อเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาว่า ‘ทำไมการทำความเข้าใจพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ยาก?’ คำถามดังกล่าวทำให้ผมยิ่งต้องทำงานหนักเพื่อหาคำตอบของคำถามและเข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้น
ระหว่างการทำงานกับเด็กนอกระบบการศึกษาที่ผ่านมา ทำให้เราพบจุดร่วมที่คล้ายกันว่า ตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังเป็นเด็กจนโตมาเป็นวัยรุ่น ทุกคนต่างมีบาดแผลทางจิตใจที่อักเสบและเรื้อรังจำนวนมาก
“เมื่อบาดแผลเหล่านั้นไม่ได้รับการเยียวยาอย่างที่ควรจะเป็น อาจพัฒนากลายเป็น ‘ภาวะชะงักงันทางการเรียนรู้’ ได้ หากคนทำงานเข้าใจได้ว่าพวกเขาล้วนเป็นเยาวชนที่มีบาดแผล ทำให้พวกเราเข้าใจเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น” ทรงวุฒิ อัศวพฤกษชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเด็กนอกระบบ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าว
ทรงวุฒิย้ำว่า ที่ผ่านมาหลายคนอาจมองว่าการเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจของเยาวชนเป็นมิติปัญหาด้าน ‘สาธารณสุข’ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว บาดแผลทางจิตใจเหล่านั้นส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ของเยาวชน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาด้าน ‘การศึกษา’ ด้วย หากไม่มีกระบวนการเยียวยาเพื่อปิดแผลใจของเยาวชนนอกระบบการศึกษา อาจนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการสร้างกำแพงกั้นขวางการเรียนรู้ของเยาวชนนอกระบบได้
สำหรับเขา ในฐานะหนึ่งในคนทำงานร่วมกับเยาวชนนอกระบบการศึกษา เขามองว่าสังคมไทยต้องเร่งสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เยาวชน เพื่อให้พวกเขามีพื้นที่สำหรับการรักษาและเยียวยาบาดแผลทางจิตใจ แม้พื้นที่ปลอดภัยดังกล่าวอาจไม่ได้ทำให้แผลใจหายไปเสียทีเดียว แต่ก็ทำให้บาดแผลแห้งและลดโอกาสการเกิดบาดแผลซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้เด็กและเยาวชนนอกระบบสามารถก้าวข้ามปัญหาเหล่านั้นและกลับเข้าไปสู่เส้นทางการเรียนรู้ได้ในอนาคต
“หากสังคมไทยยังไม่มีพื้นที่ปลอดภัย เด็กและเยาวชนนอกระบบก็จะหนีไปเรื่อยๆ จนเราไม่รู้ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหนบ้าง ทำให้เรายิ่งทำงานร่วมกับพวกเขายากขึ้น แต่ถ้าสังคมไทยมีพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ ปรับตัว และร่วมกัน เพื่อตกผลึกเป็นบทเรียนระหว่างเด็กและผู้ใหญ่และสร้างสังคมไทยให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยของเยาวชนทุกคนได้” นเรศ สงเคราะห์สุข รองหัวหน้าโครงการหนุนเสริมทางวิชาการและการจัดการความรู้สำหรับการพัฒนาเด็กนอกระบบการศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวเสริม
ทั้งนี้ นเรศแสดงความคิดเห็นว่า อีกหนึ่งปัญหาที่เด็กและเยาวชนไทยนอกระบบต้องเผชิญนั้น สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมและระบบการศึกษาไทยอย่างชัดเจน นั่นคือ ‘การบูลลี่’ (Bully) ไม่ว่าจะมาจากคุณครู ชุมชน หรือครอบครัว
“มีเด็กคนหนึ่งที่เขาต้องไปเยี่ยมคุณพ่อที่เรือนจำทุกวันอังคาร ทำให้เขามักมาโรงเรียนสายจนถูกคุณครูทำโทษอยู่บ่อยครั้ง เพราะมองว่าเป็นเพียงข้ออ้างมาสายเท่านั้น สภาวะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไม่ได้อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะเข้าใจ มีเด็กและเยาวชนหลายคนถูกระบบการศึกษาตีตราว่าเป็นเด็กมีปัญหาและมีแนวโน้มที่โรงเรียนจะนำเยาวชนเหล่านั้นออกไป” นเรศกล่าว
มายาคติของสังคมไทยที่มีต่อเด็กและเยาวชนไทยนอกระบบเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกจนกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น หากเยาวชนไทยมีปัญหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สังคมรอบข้างมักมองว่าเยาวชนคนนั้นเป็นปัญหาที่ต้องใช้อำนาจหรือความรุนแรงเข้าแก้ไข ทั้งที่หลายครั้งเหตุผลที่เยาวชนต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงอย่าง ‘ยาเสพติด’ เพราะพวกเขาถูกระบบการศึกษาผลักออกไป จนต้องกลับไปอยู่ในระบบนิเวศที่เปราะบาง
นเรศสรุปว่า หากสังคมยังไม่ปรับวิธีคิดทางนโยบายใหม่และยังไม่มีพื้นที่ปลอดภัยพร้อมรองรับเยาวชนทุกคนอย่างเท่าเทียม ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนไทยนอกระบบ หรือจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาอาจไม่มีแนวโน้มลดลงอย่างที่หลายคนคาดหวัง
ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world